แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 45
1
mobile expo: Redmi 12C สมาร์ตโฟนราคาน่ารักแต่ทรงพลัง ชิป MediaTek Helio G85 แบตฯ อึด 5,000 mAh กล้องคู่ AI 50MP

Redmi 12C สมาร์ตโฟนใหม่ล่าสุดจาก Redmi ที่มาพร้อมกับความคุ้มค่าในทุกมิติ สำหรับใครที่กำลังมองหามือถือราคาประหยัดในสเปกขั้นเทพบอกเลยว่า Redmi 12C นั้นตอบโจทย์ได้อย่างแน่นอน กับดีไซน์ภายนอกที่มีจอใหญ่ถึง 6.7 นิ้ว ขนาดจับถนัดมือจะเล่นเกม ดูหนัง หรือถ่ายรูปก็ทำได้อย่างลื่นไหล มาพร้อมกับหน่วยประมวลผล MediaTek Helio G85 ที่ถือว่าเป็นตัวแรงที่สุดในบรรดามือดือระดับเดียวกันนี้ และยังมีแบตเตอรี่ที่ทรงพลังถึง 5000mAh สามารถใช้งานได้อย่างยาวนาน ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอนได้ตลอดทั้งวัน

การออกแบบ (Design)
Redmi 12C มือถือราคาน่ารักแต่อัดแน่นไปด้วยขุมพลังอันเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ อีกทั้งยังใส่ใจในการออกแบบให้ดูโดดเด่น ด้วยตัวเครื่องที่มาแบบชิ้นเดียว ขอบแบน และด้านหลังโค้งมน นอกจากนี้ยังออกแบบให้สามารถป้องกันการลื่นไหลด้วยลายทางและร่องแบบด้วยสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ของ Redmi 12C สำหรับขนาดตัวเครื่องนั้นกว้าง 76.41 x สูง 168.76 x หนา 8.77 มิลลิเมตร และน้ำหนักโดยรวมประมาณ 192 กรัม

ตัวเครื่องมีให้เลือก 4 สี ได้แก่ Graphic Gray, Ocean Blue, Mint Green และ Lavender Purple สำหรับสี Mint Green ที่ได้มาให้ชมกันนี้มีความพาสเทลให้ความรู้สึกที่น่ารัก น่าใช้ ให้สีสันครอบคลุมพื้นที่ตัวเครื่องให้มากที่สุด โดยส่วนที่เป็นกล้องนั้นจะยังคงสีดำไว้ แต่ได้ลดทอนพื้นที่ลง ด้านหลังมีเซ็นเซอร์ลายนิ้วมือที่สามารถจับได้ถนัดมือ พร้อมทั้งโลโก้ Redmi สีเทาดูสบายตา

ตำแหน่งของตัวกล้องอยู่มุมซ้ายบน กลมกลืนไปกับเซ็นเซอร์ลายนิ้วมือด้านหลังที่ผสมผสานเข้ากับฝาหลังได้อย่างแนบเนียน สามารถปลดล็อกโทรศัพท์ได้อยางถนัดมือ และรวดเร็ว กล้องหลักให้ความละเอียดที่ 50MP (f/1.8) มาพร้อมกับความสามารถในการจับแสงที่มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการถ่ายย้อนแสง หรือการถ่ายภาพกลางคืน ทำให้ภาพนั้นคมชัดยิ่งขึ้น ถือเป็นสเปกที่มาเหนือราคาขึ้นไปอีกทีเดียว

Redmi 12C ใช้หน้าจอแสดงผล HD+ Dot Drop ขนาด 6.71 นิ้ว ความละเอียด HD+ (1650 x 720 พิกเซล) มีอัตรา Refresh Rate สูงสุด 60Hz อัตราส่วนจอแสดงผล 20.6:9 และจุดเด่นของ Redmi 12C คือมีโหมดช่วยปกป้องดวงตา เมื่อยามที่เราต้องจ้องหน้าจอเป็นเวลานานๆ ไม่ว่าจะเป็นการรับชมหนัง ซีรีส์ เล่นเกม หรือรับชมคอนเท้นต์ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

ขอบบนตรงกลางของหน้าจอวางกล้องหน้าแบบเจาะรู ความละเอียด 5MP (f/2.2) เหนือขึ้นไปบริเวณขอบจอจะเป็นลำโพงเสียงสนทนา
ด้านบนของตัวเครื่องจะเป็นรูเสียบชุดหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร
ตัวเครื่องด้านล่างตรงกลางเป็นรูชาร์จ Micro-USB ซึ่งสายชาร์จ และหัวปลั๊กได้แถมมากับตัวเครื่องแล้ว ร่องฝั่งซ้าย (ของภาพ) เป็นลำโพงเสียง ส่วนฝั่งขวานั้นเป็นไมโครโฟนสนทนา
ด้านซ้ายของตัวเครื่องเป็นถาดสำหรับใส่ซิมการ์ดแบบ Dual SIM + dedicated MicroSD
ด้านขวาของตัวเครื่อง มีปุ่มสำหรับการกดปรับเพิ่ม-ลดระดับเสียง (Volume) และปุ่ม Power สำหรับเปิด-ปิดตัวเครื่องและพักการใช้งานหน้าจอ

อุปกรณ์ภายในกล่อง
ตัวเครื่อง
หัวชาร์จแบตเตอรี่
สายชาร์จ Micro USB
เข็มจิ้มซิม
คู่มือการใช้งาน และใบรับประกันสินค้า

รายละเอียดสเปก (Specification)
หน้าจอแสดงผล ขนาด 6.71 นิ้ว ความละเอียดระดับ HD+ (1650 x 720 พิกเซล) อัตรา Refresh Rate 60Hz บนอัตราส่วนจอแสดงผล 20.6:9
หน่วยประมวลผล CPU MediaTek Helio G85 ความเร็ว 2.0 GHz
หน่วยประมวลผล GPU Mali-G52 MC2
หน่วยความจำ RAM 4GB และ 6GB
หน่วยความจำ ROM 64GB และ 128GB (Supports expandable storage up to 1TB)
ช่องใส่ซิมการ์ด Dual SIM + dedicated MicroSD
กล้องหลัง ความละเอียด 50MP (f/1.8)
กล้องหน้า ความละเอียด 5MP (f/2.2)
การเชื่อมต่อ
-- Bluetooth 5.1
-- Wi-Fi Protocol: 802.11a/b/g/n/ac
-- Supports FM radio (with headphones)
-- GSM: B2/3/5/8
-- พอร์ต Micro-USB
ระบบเซ็นเซอร์ Fingerprint sensor, AI Face Unlock
แบตเตอรี่ 5,000mAh (รองรับชาร์จ 10W)
ระบบปฎิบัติการ MIUI 13 (Android 12)
ช่องเสียบหูฟัง 3.5 mm

ราคาและการวางจำหน่าย (Price & Availability)
Redmi 12C มาในตัวเลือก 4 สี คือ Graphite Gray, Ocean Blue, Mint Green, Lavender Purple วางจำหน่ายในราคา
- 6GB + 128 GB ราคา 5,499 บาท
- 4GB + 64 GB ราคา 4,499 บาท

โดยสามารถหาซื้อได้ทั้งทางช่องทางออนไลน์ และทางออฟไลน์ผ่านตัวแทนจำหน่ายชั้นนำทั่วประเทศ

2
บริการด้านอาหาร: เมนูอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน อิ่มอร่อยได้อย่างสบายใจ

โรคเบาหวาน เป็นหนึ่งในโรคยอดฮิตของผู้สูงวัยที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโรคเบาหวานสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุไม่ว่าจะเป็นการที่ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลกลูโคสในเลือดไปใช้ได้อย่างเหมาะสม  โรคเบาหวานเป็นภาวะที่เกิดจากระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ การที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงนั้นทำให้ร่างกายไม่สามารถดึงน้ำตาลที่ได้รับจากอาหารไปใช้เป็นพลังงานได้

เอลเดอร์จึงนำสาระดี ๆ มาฝากผู้สูงวัยที่เป็นโรคเบาหวานอีกเช่นเคย ไม่ว่าจะเป็นหลักการทานอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน และเมนูอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวานทำง่ายได้ด้วยตัวเอง และเต็มไปด้วยคุณประโยชน์ที่ดีต่อร่างกาย

ทำไมผู้ป่วยเบาหวานต้องควบคุมอาหาร ?

อาหารที่ทานเข้าไปในแต่ละมื้อมีความสำคัญกับผู้ป่วยเบาหวานอย่างมาก สำหรับผู้สูงวัยที่มีโรคเบาหวานต้องเลือกทานอาหารที่ดีและเหมาะสมมากเป็นพิเศษ ต้องประกอบไปด้วยสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพและสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วย เพื่อสุขภาพที่ดีและป้องกันความเสี่ยงต่าง ๆ ที่เกิดจากโรคแทรกซ้อน
หลักการทานอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

ผู้ป่วยเบาหวานโดยเฉพาะผู้ป่วยสูงวัย การทานอาหารเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก เพราะหากมีการทานอาหารที่ดีและเหมาะสม เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย สามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ควบคุมระดับความดันโลหิต และเสริมสร้างสุขภาพร่างกายแก่ผู้สูงวัย หากทานอาหารที่ไม่ถูกต้องหรืออาหารที่ควรเลี่ยง อาจส่งผลเสี่ยงต่อสุขภาพและต่อโรคเบาหวานได้

1. สารอาหารที่จำเป็นต่อผู้ป่วยเบาหวาน

    คาร์โบไฮเดรต แบบเชิงเดี่ยวจากน้ำตาล และแบบเชิงซ้อนจากแป้ง ถูกย่อยและดูดซึมไปอยู่ในกระแสเลือดในรูปของกลูโคส ซึ่งส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงและเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานได้ แต่คาร์โบไฮเดรตจากอาหารบางชนิดก็มีประโยชน์ต่อคนเป็นเบาหวาน เช่น อาหารจำพวกผัก ผลไม้ ธัญพืช หรือถั่วชนิดต่าง ๆ
    ไฟเบอร์หรือเส้นใยอาหาร ได้แก่ อาหารจำพวกผัก ผลไม้ ถั่ว ธัญพืช รำข้าว หรือแป้งสาลี โดยอาหารที่มีไฟเบอร์สูงจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและปรับสมดุลของการย่อยอาหารในร่างกาย
    ไขมันดี อยู่ในรูปของไขมันไม่อิ่มตัว มีทั้งแบบเชิงเดี่ยวและเชิงซ้อน พบมากในอะโวคาโด อัลมอนด์ หรือมะกอก สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ แต่ไม่ควรรับประทานมากเกินไป เพราะอาหารที่มีไขมันสูงจะมีแคลอรี่สูง

2. อาหารที่ผู้ป่วยเบาหวานควรเลี่ยง

อาหารบางอย่างนอกจากจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อคนเป็นเบาหวานแล้ว ยังอาจทำให้เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนได้ ทั้งโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ลิ่มเลือดอุดตัน หรือภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง ซึ่งอาหารที่คนเป็นเบาหวานควรเลี่ยง ดังนี้

-    ไขมันอิ่มตัว มักพบในอาหารจำพวกเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากนม เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ติดหนัง เนื้อวัว ไส้กรอก เบคอน ไขมันจากสัตว์ เนย ชีส เป็นต้น รวมถึงในขนมอบ ของทอด น้ำมันปาล์ม หรือน้ำมันมะพร้าวด้วย ซึ่งควรบริโภคอาหารให้ได้รับพลังงานจากไขมันอิ่มตัวไม่เกิน 5-6 เปอร์เซ็นต์ต่อวัน
-    ไขมันทรานส์สังเคราะห์ พบมากในขนมอบที่มีมาการีนเป็นส่วนประกอบและอาหารที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำด้วยความร้อนสูง เพื่อเก็บรักษา ยืดอายุ และทำให้อาหารดูน่ารับประทานมากขึ้น เช่น โดนัท คุกกี้เนย มันฝรั่งทอดหรือเฟรนช์ฟราย ขนมขาไก่ เวเฟอร์เคลือบช็อกโกแลต ขนมดอกจอก ปลาซิวแก้ว เป็นต้น
-    ไขมันคอเลสเตอรอล มักพบในอาหารประเภทผลิตภัณฑ์จากนม รวมถึงเนื้อสัตว์ที่มีไขมันและโปรตีนสูงอย่างเครื่องในสัตว์หรือไข่แดง ซึ่งในแต่ละวันไม่ควรได้รับคอเลสเตอรอลเกิน 200 มิลลิกรัม
-    โซเดียม แม้เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมปริมาณของเหลวในร่างกาย ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ แต่หากรับประทานอาหารที่มีโซเดียมในปริมาณมากเกินไปหรือเกินกว่า 2,300 มิลลิกรัมต่อวัน อาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดภาวะความดันโลหิตสูง เลือดข้น หัวใจทำงานหนักขึ้น ประสิทธิภาพในการทำงานของไตลดลง เลือดไปเลี้ยงไตไม่เพียงพอ ไตเสื่อม และอาจเกิดภาวะไตวายในที่สุด

3. หลักการทานอาหารแต่ละกลุ่ม

ไปดูกันว่าหลักการทานอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ผู้สูงวัยควรเน้นทานอาหารในกลุ่มไหนบ้าง และควรทานในปริมาณเท่าไหร่จึงจะเหมาะสม
1.) หมวดคาร์โบไฮเดรต (ข้าวแป้ง)

เช่น ข้าว ก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง เผือก มัน ถั่วเมล็ดแห้ง 1 ส่วน ประกอบด้วย คารโบไฮเดรต 18 กรัม (1 คาร์บ) โปรตีน 3 กรัม ให้พลังงาน 80 กิโลแคลอรี ผู้ป่วยเบาหวานสามารถกินอาหารในหมวดคาร์บได้ปกติ แต่ควรมีการทานในปริมาณที่เหมาะสม เช่น ผู้ป่วยที่มีน้ำหนักสูงควรทานมื้อละ 2 ทัพพี สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักปกติสามารถทานได้ 2-3 ทัพพีต่อมื้อ

2.) หมวดผลไม้

ผลไม้ 1 ส่วนมีคาร์โบไฮเดรต 15 กรัม (1 คารบ์)  ให้พลังงาน 60 กิโลแคลอรี่ เส้นใยอาหารประมาณ 2 กรัมขึ้นไป โดยปกติผลไม้ 1 ส่วนเท่ากับน้ำผลไม้ 1 ส่วน 2 ถ้วยตวง หรือเท่ากับผลไม้อบแห้งธรรมดา 1 ส่วน 4 ถ้วยตวง ผลไม้ทุกชนิดมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบแม้จะมีเส้นใยอาหารแต่หากกินมากกว่าปริมาณที่กำหนดจะทำให้ผู้ป่วยเบาหวานได้รับน้ำตาลในปริมาณที่สูงจึงควรกินผลไม้ในปริมาณที่เหมาะสม เช่น  1 ชนิดต่อมื้ออาหาร

3.) หมวดผัก

อาหารกลุ่มนี้มีวิตามิน แร่ธาตุ และเส้นใยอาหารมาก จึงเป็นกลุ่มที่ผู้ป่วยเบาหวานควรกินให้ว่าขึ้นในแต่ละมื้อ เช่น วันละ 60 ทัพพีหรือ 2-3 ถ้วยตวง โดยเฉพาะผักใบสีเขียวสดหรือสุก เพื่อที่ร่างกายจะได้ใยอาหาร และช่วยลดการดูดซึมน้ำตาล และไขมันในอาหารได้เป็นอย่างดี ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดและไขมันในเลือดลดลง

4.) หมวดเนื้อสัตว์

อาหารในกลุ่มโปรตีนเป็นอาหารหลักที่ผู้ป่วยเบาหวานต้องได้รับในทุกมื้ออาหาร แต่ควรทานในปริมาณที่เหมาะสมเช่น 2-4 ช้อนโต๊ะ โดยเนื้อสัตว์ 1 ช้อนโต๊ะเท่ากับ 15 กรัม ควรเน้นเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมันและหนัง การทานปลาช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์มากขึ้น
แนะนำเมนูอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

หลังจากที่ผู้สูงวัยได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการทานอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวานมาแล้วเบื้องต้น เอลเดอร์จึงมีเมนูอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวานมาแนะนำอีกเช่นเคย โดยเลือกเมนูที่เน้นทำง่าย แต่ได้ประโยชน์ได้รับสารอาหารครบถ้วนตามปริมาณที่เหมาะสมที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละมื้อ
1. แกงจืดผักกาดขาวเต้าหู้หมูสับ

ส่วนผสม

    ผักกาดขาว 240 กรัม (1 หัว)
    คื่นฉ่ายหั่น 40 กรัม  (4 ต้น)
    หมูเนื้อแดงสับ 80 กรัม (1 ขีด)
    เต้าหู้อ่อน 160 กรัม (1 หลอด)
    ซีอิ๊วขาว  10 กรัม (2 ช้อนชา)
    กระเทียม  10 กรัม (1 ช้อนโต๊ะ)
    พริกไทยป่น 4 กรัม (1 ช้อนชา)

วิธีทำ   
1. นําผักกาดขาวมาล้าง หั่นเป็นท่อน ประมาณ 1 นิ้ว และเต้าหู้อ่อนหั่นเป็นชิ้น
2. ตั้งน้ําให้เดือด ใส่ซีอิ๊วขาว กระเทียม หมูสับ เต้าหู้ และผักกาดขาว ต้มจนเดือดและสุกกำลังดี
3. โรยด้วยคื่นฉ่าย และพริกไทยป่น พร้อมตักเสิร์ฟ

เคล็ดไม่ลับสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
เปลี่ยนน้ำปลาจาก 2 ช้อนกินข้าว เป็นซีอิ๊วขาว 2 ช้อนชา
2. ข้าวกล้องราดกะเพราไก่สมุนไพร

ส่วนผสม

    ข้าวกล้อง 150 กรัม (1/2 ทัพพี)
    เนื้อไก่สับหยาบ 60 กรัม (1/2 ขีด)
    กระเทียมโขลก  10 กรัม (1 ช้อนโต๊ะ)
    พริกขี้หนูโขลก 3  กรัม  (6 เม็ด)
    ใบกะเพรา 10 กรัม (1/4 ถ้วยตวง)
    น้ํามันถั่วเหลือง   5 กรัม (1 ช้อนชา)
    หอมหัวใหญ่  10 กรัม (1 ช้อนโต๊ะ)
    มะเขือเทศ  20 กรัม (1 ลูก)
    น้ําปลา  5 กรัม (1 ช้อนชา)
    แตงกวา (กินแกล้ม) 2 ลูก

วิธีทำ
1. ใส่น้ํามันลงในกระทะตั้งไฟกลาง  ใส่กระเทียม พริกขี้หนู ผัดให้หอม
2. ใส่ไก่ผัดพอสุก ใส่หอมหัวใหญ่ มะเขือเทศ
3. ปรุงรสด้วยน้ำปลา ใส่ใบกะเพรา ผัดพอให้สุก
4. ตักราดบนข้าว พร้อมเสิร์ฟ ทานคู่กับแตงกวา

เคล็ดไม่ลับสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
1. เปลี่ยนข้าวขาวเป็นข้าวกล้อง
2. เพิ่มหอมใหญ่ มะเขือเทศ และแตงกวา เพื่อเพิ่มใยอาหาร
3. ยําปลาทู

ส่วนผสม

    ปลาทูนึ่ง 80 กรัม (2 ตัว)
    ขิงซอย 100 กรัม (1 ถ้วยตวง)
    พริกขี้หนูซอย 20 กรัม (2 ช้อนโต๊ะ)
    หอมแดงซอย 100 กรัม (1 ถ้วยตวง)
    น้ํามะนาว 60 กรัม  (4 ช้อนโต๊ะ)
    น้ําปลา 10 กรัม (2 ช้อนชา)
    ผักกาดขาว 80 กรัม (2 ใบ)
    ต้นหอมซอย 40 กรัม (1/2 ถ้วยตวง)
     ผักชีซอย  40 กรัม 1/2 ถ้วยตวง
    ตะไคร้ซอย 100 กรัม (1 ถ้วยตวง)

วิธีทำ
1. ปลาทูนึ่งแล้วแกะก้างออก เอาแต่เนื้อ จากนั้นใช้ส้อมยีปลาทูเป็นชิ้นเล็ก ๆ
2. ผสมเครื่องปรุงทั้งหมดคลุกเคล้ากับปลาทู ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว น้ำปลา คลุกให้เข้ากัน
3. จัดจานด้วยผักกาดขาว พร้อมตักเสิร์ฟ

เคล็ดไม่ลับสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
1. ลดปริมาณน้ําปลาจาก 1/2 ช้อนกินข้าว เหลือ 2 ช้อนชา
2. เปลี่ยนจากปลาทูทอด เป็นปลาทูนึ่ง เพื่อลดปริมาณน้ํามัน
3. เพิ่มผักสมุนไพรให้มากขึ้น เช่น เช่น ตะไคร้ ขิง หอมแดง ผักชี และผักกาดขาว
4. ผัดบวบใส่ไก่

ส่วนผสม

    บวบเหลี่ยมหั่น 240 กรัม (3 ถ้วยตวง)
    เนื้อไก่ 120 กรัม (1 ขีด)
    กระเทียม 20 กรัม (2 ช้อนโต๊ะ)
    น้ํามันถั่วเหลือง 20 กรัม (4 ช้อนชา)
    ซีอิ๊วขาว 10 กรัม (2 ช้อนชา)
    พริกชี้ฟ้าเหลืองแดง 10 กรัม  (ครึ่งเม็ด)
    น้ําซุปผัก 50 กรัม (¼ ถ้วยตวง)

วิธีทำ
1. นําบวบมาปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นชิ้น ๆ ต่อด้วยหั่นเนื้อไก่เป็นชิ้นพักไว้
2. เจียวกระเทียมสับในน้ํามันให้เหลือง  ใส่เนื้อไก่ผัดให้สุก
3. ใส่บวบลงผัดจนสุกและนิ่ม ใส่พริกชี้ฟ้าเหลืองแดงหั่นแฉลบ ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว ผัดจนสุกเข้ากันพร้อมตักเสิร์ฟ

เคล็ดไม่ลับสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

1. ไม่ใส่น้ําตาลทราย
2. ลดปริมาณซีอิ๊วขาวจาก 2 ช้อนโต๊ะ เหลือ 2 ช้อนชา

ข้อแนะนำในการทานอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

1. ทานข้าว ก๋วยเตี๋ยว ขนมปังได้ตามปกติ ไม่ต้องลดลงมาก เว้นแต่เฉพาะผู้ป่วยที่มีภาวะอ้วนให้ลดปริมาณลงครึ่งหนึ่ง
2. ทานผลไม้ที่หวานน้อย และมีใยอาหารมาก ตามปริมาณที่กำหนด วันละ 2-3 ครั้งแทนขนม
3. ทานผักให้มากขึ้นทุกมื้อ
4. ทานผักผลไม้ทั้งกาก แทนการคั้นดื่มแต่น้ำ
5. ทานไข่ได้ แต่หากผู้ป่วยมีไขมันโคเลสเตอรอลในเลือดสูง ให้งดไข่แดง
6. ทานเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และไม่ติดหนัง
7. ทานปลาและเต้าหู้ให้บ่อยขึ้น
8. เลือกทานอาหารที่มีไขมันน้อย และใช้น้ำมันน้อย เช่น อาหารประเภทต้ม นึ่ง ย่าง และผัด แทนอาหารประเภททอด
9. ใช้น้ำมันพืชจำพวกน้ำมันถั่วเหลือง หรือน้ำมันรำข้าวในการทอด หรือผัดอาหารแต่พอควร
10. หลีกเลี่ยงอาหารใส่กะทิ ไขมันสัตว์ และอาหารทอดเป็นประจำ รวมทั้งขนมอบ เช่น พัฟ พาย เค้ก
11. เลือกดื่มนมขาดมันเนย (ไขมัน 0%) นมจืดพร่องมันเนย แทนนมปรุงแต่งรส
12. หลีกเลี่ยงน้ำหวาน น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต และขนมหวานจัดต่างๆ
13. ใช้น้ำตาลเทียมใส่เครื่องดื่มและอาหารแทนการใช้น้ำตาลทราย
14. ทานอาหารรสอ่อนเค็ม รสไม่จัด
15. อ่านฉลากข้อมูลโภชนาการที่อยู่บนบรรจุภัณฑ์ก่อนรับประทาน โดยเลือกอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลน้อยกว่า 20 กรัม

อาหารเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ป่วยเบาหวานอย่างมากเนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นอยู่กับอาหารที่ทานเข้าไปในแต่ละมื้อผู้ป่วยเบาหวานจึงควรรักษาระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้ต่ำหรือสูงจนเกินไปเนื่องจากส่งผลโดยตรงต่อร่างกายและอาจเกิดความเสี่ยงจากโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ

3
โปรแกรมหมอประจำบ้านอัจริยะ: คางทูม (Mumps/Epidemic parotitis)


คางทูม เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของต่อมน้ำลาย โดยมากมักจะเป็นที่ต่อมน้ำลายข้างหู (parotid glands) พบมากในเด็กอายุ 6-10 ปี มักไม่พบในเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี และผู้ใหญ่อายุมากกว่า 40 ปี มีอุบัติการณ์สูงในเดือนมกราคมถึงเมษายน และกรกฎาคมถึงกันยายน อาจพบการระบาดได้เป็นครั้งคราว


สาเหตุ

เกิดจากเชื้อคางทูม ซึ่งเป็นไวรัสในกลุ่ม paramyxovirus เชื้อจะอยู่ในน้ำลายและเสมหะของผู้ป่วย ติดต่อโดยการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสมหะที่ผู้ป่วยไอหรือจามรด หรือโดยการสัมผัสถูกมือ สิ่งของเครื่องใช้ (เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ จาน ชาม เป็นต้น) หรือสิ่งแวดล้อมที่แปดเปื้อนเชื้อแบบเดียวกับไข้หวัด เชื้อเข้าสู่ร่างกายทางจมูกและปาก แล้วแบ่งตัวในเซลล์เยื่อบุของทางเดินหายใจส่วนต้น หลังจากนั้นเชื้อจะเข้าสู่กระแสเลือด แพร่กระจายไปยังอวัยวะต่าง ๆ โดยเฉพาะต่อมน้ำลายข้างหู

ระยะฟักตัว 2-4 สัปดาห์ (เฉลี่ย 16-18 วัน)


อาการ

ที่สำคัญ คือ ขากรรไกรบวม 1-2 ข้าง โดยแรกเริ่มผู้ป่วยจะมีอาการไข้ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร บางรายอาจเจ็บคอภายใน 24 ชั่วโมง (บางรายอาจหลายวัน) ต่อมาจะมีอาการปวดที่ข้างแก้มใกล้ใบหูหรือปวดหู ซึ่งจะเป็นมากขึ้นเวลาพูด เคี้ยว หรือกลืน หรือเวลากินอาหารรสเปรี้ยว เช่น น้ำส้ม มะนาว ต่อมาจะเกิดอาการบวมที่ขากรรไกรบริเวณใต้หูและข้างหู (ทั้งด้านหน้าและหลังหู) ทำให้ใบหูถูกดันขึ้นข้างบน ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดมากขึ้น จนบางครั้งพูด เคี้ยว หรือกลืนลำบาก อาการบวมและปวดจะเป็นมากสุดภายใน 1-3 วัน แล้วค่อย ๆ ลดลง และส่วนใหญ่จะหายไปภายใน 4-8 วัน บางรายอาจนานถึง 10 วัน ส่วนอาการไข้ส่วนใหญ่จะเป็นอยู่ 3-4 วัน บางรายอาจเป็นอยู่ประมาณ 1-6 วัน

ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีขากรรไกรบวมข้างเดียวก่อน ต่อมาอีก 1-2 วัน (บางรายหลายวัน) จึงบวมอีกข้าง ประมาณร้อยละ 25 ของผู้ป่วยจะมีอาการบวมเพียงข้างเดียว

บางรายอาจมีการอักเสบของต่อมน้ำลายใต้คาง (submandibular glands) และใต้ลิ้น (sublingual glands) ร่วมด้วย ทำให้มีอาการบวมที่ใต้คาง

บางรายอาจมีขากรรไกรบวมโดยไม่มีอาการอื่น ๆ นำมาก่อน หรืออาจมีเพียงอาการไข้โดยขากรรไกรไม่บวมก็ได้

ประมาณร้อยละ 30 ของผู้ที่ติดเชื้อคางทูมจะไม่แสดงอาการ แต่สามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นได้


ภาวะแทรกซ้อน

ส่วนมากจะหายได้เองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน ส่วนน้อยที่อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย ซึ่งเป็นอาการแสดงของการติดเชื้อคางทูมของเนื้อเยื่อส่วนอื่น ซึ่งอาจแสดงอาการก่อน ขณะ หรือหลังขากรรไกรบวม หรืออาจเกิดขึ้นโดยไม่มีอาการขากรรไกรบวมก็ได้

ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อย ได้แก่ อัณฑะอักเสบ (orchitis) พบได้ประมาณร้อยละ 30-38 จะมีอาการไข้สูง หนาวสั่น อัณฑะปวดและบวม (จะปวดมากใน 1-2 วันแรก) มักพบหลังเป็นคางทูม 7-10 วัน แต่อาจพบก่อนหรือพร้อม ๆ กับคางทูมก็ได้ ส่วนใหญ่เป็นเพียงข้างเดียวและน้อยรายที่จะกลายเป็นหมัน มักพบหลังวัยแตกเนื้อหนุ่ม ส่วนใหญ่พบในช่วงอายุ 30-40 ปี ในเด็กอาจพบได้บ้าง แต่น้อยกว่าในผู้ใหญ่มาก

อาจพบรังไข่อักเสบ (oophoritis) ซึ่งจะมีอาการไข้และปวดท้องน้อย มักพบในวัยแตกเนื้อสาว ซึ่งบางครั้งอาจทำให้เป็นหมันได้

อาจทำให้แท้งบุตรในกรณีติดเชื้อคางทูมในระยะไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์

อาจพบเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุของเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อไวรัสที่พบได้บ่อยที่สุด มักมีอาการเพียงเล็กน้อยและหายได้เอง ส่วนสมองอักเสบอาจพบได้บ้างแต่น้อยมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นไม่รุนแรง ส่วนน้อยอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนทางสมอง หรือร้ายแรงถึงตาย

นอกจากนี้ ยังอาจพบตับอ่อนอักเสบ ประสาทหูอักเสบ (อาจทำให้หูตึงหรือสูญเสียการได้ยินชั่วคราวหรือถาวรได้) ไตอักเสบ ต่อมไทรอยด์อักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ข้ออักเสบ ตับอักเสบ ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ แต่ล้วนเป็นภาวะที่พบได้น้อยมาก


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

มักตรวจพบไข้ 38-40 องศาเซลเซียส (บางรายอาจไม่มีไข้) บริเวณขากรรไกรบวมข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้าง กดเจ็บ

รูเปิดของท่อน้ำลายในกระพุ้งแก้ม (บริเวณตรงกับฟันกรามบนซี่ที่ 2) อาจมีอาการบวมแดงเล็กน้อย

อาจพบอาการลิ้นบวม (ในรายที่มีต่อมน้ำลายใต้ลิ้นอักเสบ) หรือหน้าอกตรงส่วนใต้คอบวม (ในรายที่มีต่อมน้ำลายใต้คางบวม)

ในรายที่จำเป็นต้องวินิจฉัยโรคคางทูมให้แน่ชัด แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจเลือด (ทำการทดสอบทางน้ำเหลือง) เพื่อหาระดับสารภูมิต้านทานต่อเชื้อคางทูม การตรวจหาเชื้อคางทูมจากน้ำลาย น้ำไขสันหลัง หรือปัสสาวะ


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

1. ถ้าพบผู้ป่วยมีอาการขากรรไกรบวม มีประวัติ (เช่น การสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นคางทูม) และอาการ (มีไข้ ปวดขากรรไกรมาก่อน) เข้าได้กับโรคคางทูม โดยไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย ก็ให้การรักษาตามอาการโดยไม่ต้องให้ยาปฏิชีวนะ แนะนำให้ผู้ป่วยนอนพัก ดื่มน้ำมาก ๆ เช็ดตัวเวลามีไข้สูง หลีกเลี่ยงอาหารรสเปรี้ยว ใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบ ถ้าปวดมากใช้กระเป๋าน้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบ

ในช่วงที่ขากรรไกรบวมหรือปวดมาก หรืออ้าปากลำบาก แนะนำให้ผู้ป่วยกินอาหารอ่อนหรือที่เคี้ยวง่าย

ถ้าไข้ไม่สูงหรือไม่มีไข้ ไม่ต้องให้ยา ถ้าไข้สูงให้พาราเซตามอล ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปี ควรหลีกเลี่ยงการใช้แอสไพริน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรย์ซินโดรม

2. ถ้ามีอัณฑะอักเสบ ให้ประคบด้วยน้ำแข็ง ให้ยาลดไข้แก้ปวด เช่น พาราเซตามอล ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ส่วนใหญ่มักหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์

ในรายที่อักเสบรุนแรงหรือให้ยาลดไข้แก้ปวดแล้วไม่ทุเลา แพทย์อาจพิจารณาให้ยาสเตียรอยด์ลดการอักเสบ เช่น ให้เพร็ดนิโซโลน

3. ถ้ามีอาการปวดท้องรุนแรง ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก คอแข็ง ชัก หรือซึมไม่ค่อยรู้สึกตัว แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล ทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม และให้การรักษาตามสาเหตุที่ตรวจพบ

ผลการรักษา ส่วนใหญ่ให้การรักษาตามอาการ มักจะหายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ ส่วนน้อยที่อาจมีภาวะแทรกซ้อนตามมา


การดูแลตนเอง

ถ้ามั่นใจ หรือได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นคางทูม ควรดูแลตนเอง ดังนี้

1. ปฏิบัติตัว ดังนี้

    พักผ่อนมาก ๆ ห้ามอาบน้ำเย็น ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเวลามีไข้สูง ดื่มน้ำมาก ๆ หลีกเลี่ยงอาหารรสเปรี้ยว
    กินอาหารตามปกติหรืออาหารอ่อน (เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก)
    ใช้น้ำอุ่นประคบบริเวณที่เป็นคางทูม
    ถ้ามีไข้สูง หรือปวด กินยาลดไข้แก้ปวด - พาราเซตามอล* (ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปี ควรหลีกเลี่ยงการใช้แอสไพริน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรย์ซินโดรม)  (ดู โรคเรย์ซินโดรม)

2. ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการชัก ไม่ค่อยรู้สึกตัว ปวดศีรษะมาก อัณฑะปวดและบวม ปวดท้องนานเป็นชั่วโมง ๆ เจ็บหน้าอกมาก หรือตาเหลืองตัวเหลือง
    มีอาการเหงือกอักเสบ
    มีประวัติการแพ้ยา สตรีที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร หรือมีโรคตับ โรคไต หรือประจำตัวอื่น ๆ ที่มีการใช้ยา หรือแพทย์นัดติดตามการรักษาอยู่เป็นประจำ
    หลังกินยา มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
    อาการไม่ดีขึ้นใน 1 สัปดาห์
    มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง

*เพื่อความปลอดภัย ควรขอคำแนะนำวิธีและขนาดยาที่ใช้ ผลข้างเคียงของยา และข้อควรระวังในการใช้ยา จากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ โดยเฉพาะการใช้ยาในเด็ก สตรีที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวหรือมีการใช้ยาบางชนิดที่แพทย์สั่งใช้อยู่เป็นประจำ

การป้องกัน

1. การฉีดวัคซีนป้องกัน แนะนำให้ฉีดวัคซีนรวมป้องกันหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน (MMR) แก่เด็กทุกคน โดยฉีดเข็มแรกเมื่ออายุ 9-12 เดือน และฉีดซ้ำอีกครั้งเมื่ออายุ 4-6 ปี

2. ในช่วงที่มีการระบาดหรือมีคนใกล้ชิดป่วยเป็นโรคนี้ แนะนำให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับไข้หวัด

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้เกิดจากไวรัส ถือเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรง ซึ่งมักจะหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยไม่ต้องฉีดยาหรือให้ยาจำเพาะแต่อย่างใด การที่ชาวบ้านในสมัยก่อนหรือบางคนนิยมเขียน “เสือ” ด้วยตัวหนังสือจีนที่แก้มทั้ง 2 ข้าง หรือใช้ปูนแดงหรือครามป้ายแล้วหายได้นั้นก็เพราะเหตุนี้

2. ควรแยกผู้ป่วยออกต่างหาก อย่าให้คลุกคลีกับคนอื่น จนกว่าจะพ้นระยะติดต่อ (ระยะติดต่อตั้งแต่ 4 วันก่อนมีอาการจนกระทั่ง 9 วัน หลังมีอาการ)

3. ควรเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน โดยเฉพาะในผู้ใหญ่ หากสงสัยควรส่งไปตรวจที่โรงพยาบาล

4. เมื่อเป็นแล้วมักจะไม่เป็นซ้ำอีก

5. อาการคางบวม อาจมีสาเหตุจากโรคอื่น ๆ ได้ ควรซักถามอาการและตรวจร่างกายให้ถี่ถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจดูภายในปากและลำคอ (ตรวจอาการ คางบวม/คอบวม ประกอบ) และถ้าให้การดูแลรักษาตามอาการ 1 สัปดาห์แล้วไม่ทุเลา ก็ควรค้นหาสาเหตุอื่นต่อไป เช่น เมลิออยโดซิส ต่อมน้ำลายอักเสบ*

6. ถ้าอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 หรือมีประวัติสัมผัสผู้ป่วยโรคนี้ หากมีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ (เช่น ไข้ เจ็บคอ เสียงแหบ น้ำมูกไหล ไอ ท้องเดิน หายใจเหนื่อยหอบ) หรือทำการตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจแอนติเจน (ATK) ด้วยตนเองให้ผลเป็นบวก ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

* ต่อมน้ำลายอักเสบ (parotitis) มักมีลักษณะเป็นก้อนนุ่ม ๆ ที่มุมขากรรไกร หรือใต้คางอย่างเรื้อรัง อาจมีอาการเจ็บปวดร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้ อาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย อาจเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุชักนำชัดเจนก็ได้ บางรายอาจพบว่ามีภาวะอุดกั้นของท่อน้ำลายจากก้อนนิ่ว  เนื้องอก  หรือท่อน้ำลายตีบ  หากพบควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจหาสาเหตุและให้การรักษาที่ถูกต้อง

4
จัดฟันบางนา: วิธีการจัดฟันแบบใส invisalign ในเด็ก !

เป็นที่ทราบกันดีว่า การจัดฟันถือเป็นที่นิยมมากในวัยรุ่น และการจัดฟันแบบใส invisalign ในเด็กก็ถือว่าเป็นที่นิยมไม่แพ้กัน ด้วย invisalign เรามีฟังก์ชั่นที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับการเจริญเติบโตของฟันในเด้กและวัยรุ่น เรียกว่า invisalign teen ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับพฤติกรรมของเด็ก และการเจริญเติบโตของฟันในช่วงการผลัดขึ้นของันแท้ของเด็กได้

โดยฟังก์ชั่นนี้จะเป้นการดีไซน์เครื่องมือมาให้เพื่อรองรับให้ฟันแท้ขึ้นได้ ซึ่งปัจจุบัน invisalign น่าจะเป็น clear aligner ยี่ห้อเดียวที่มีการทำฟังก์ชั่นนี้ โดยจะมีปุ่ม indicator บน aligner โดยทันตแพทย์จะทำการตรวจว่าเด็กๆ สามารถใส่ invisalign แต่ละคู่เพียงพอหรือไม่ นอกจากนี้ได้มีการพัฒนารูปแบบของ aligner ให้ทำหน้าที่จัดตำแหน่งขากรรไกรได้ด้วย ซึ่งจะไปส่งผลต่อการเจริญเติบโตของขากรรไกรในเด็กที่กำลังโต

ทั้งนี้หากผู้ปกครองต้องการให้ลูกหลานเข้ารับการจัดฟันแบบใส invisalign ทางคลีนิค ของเรามีทีมทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่ผ่านการอบรมการจัดฟันแบบใส invisalign และมีประสบการณ์การจัดฟันมาอย่างยาวนาน ให้คำปรึกษาและคำแนะนำ สำหรับการจัดฟันแบบใส invisalign ในเด็กหรือวัยรุ่น ทางเรามีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการและสามารถเข้ารับการปรึกษาได้ฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

5
การจัดฟันเด็ก สามารถจัดได้เลย ไม่ต้องรอฟันแท้ขึ้น

การจัดฟันเด็ก เป็นการทันตกรรมสำหรับเด็กที่ต้องบอกว่าได้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพมาก เพราะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาในเรื่องของรูปร่างและลักษณะของฟัน รวมไปถึงการสบฟันที่มีความผิดปกติด้วย เพราะการสบฟันที่ผิดปกติ จะส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กด้วย เนื่องจากอาจจะทำให้เด็กไม่ได้รับสารอาหารทีเพียงพอ มีอุปสรรคในการบดเคี้ยวอาหาร ซึ่งเด็กบางคนอาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับการเรียงตัวของฟันด้วยเช่น  ฟันเก ฟันซ้อน ฟันยื่น ฟันล่างสบคร่อมฟันบน ในเด็กนั้น เกิดได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นพันธุกรรม การดูแลสุขภาพฟันน้ำนมไม่ดีพอ จนต้องถอนออกก่อนกำหนด ก็จะทำให้เกิดฟันล้มฟันเกตามมา พฤติกรรมที่ผิดปกติ เช่น ดูดนิ้ว กัดเล็บ ติดจุกนมปลอม กัดริมฝีปาก รวมถึงปัญหาด้านสุขภาพ เช่น ภูมิแพ้ หรือโรคทางเดินหายใจ

สาเหตุต่างๆเหล่านี้ ล้วนส่งผลให้เกิดปัญหาการจัดเรียงตัวของฟันแท้ได้ทั้งสิ้น ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะสังเกตความผิดปกติของบุตรหลานของท่านให้ดี เพื่อที่จะได้แก้ไขปัญหาได้อย่างทันเวลา เพราะถ้าหากปล่อยไว้นานๆ อาจจะทำให้เกิดปัญหาที่รุนแรงมากขึ้นได้ หรืออาจจะพาบุตรหลานของท่านเข้าพบทันตแพทย์จัดฟันเพื่อทำการแก้ไข แต่ในการจัดฟันเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครองอาจจะมีข้อสงสัยว่า เด็กที่ฟันแม้ยังไม่ขึ้น สามารถเข้ารับการจัดฟันในเด็กได้หรือไม่ ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงประเด็นนี้กัน

ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงการจัดฟันในเด็กกับข้อสงสัยที่พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนสงสัยว่า หากบุตรหลานยังมีฟันแท้ขึ้นไม่ครบจะสามารถพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็กได้หรือไม่ ต้องบอกก่อนว่า การจัดฟันในเด็กสามารถพาเด็กเข้ารับการรักษาได้ตั้งแต่อายุ 4-15 ปี ซึ่งแน่นอนว่า เด็กบางคนอาจะอยู่ในช่วงของการมีฟันน้ำนม ซึ่งการที่เราจะพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถพามาปรึกษาทันตแพทย์จัดฟันได้เลย เพราะการจัดฟันในเด็ก ปัญหาบางปัญหาสามารถทำได้ตั้งแต่ในเด็ก ไม่ต้องรอฟันน้ำนมหลุดหมดก่อน หรือ รอจนฟันแท้ขึ้นครบ การรักษาตั้งแต่เริ่มแรก อาจจะทำให้ใช้เวลาในการรักษาน้อยกว่าแล้ว ยังไม่ยุ่งยากมาก ไม่ซับซ้อน และมีผลการรักษาที่ดีมีประสิทธิภาพด้วย

ดังนั้น หากบุตรหลานของท่านมีความผิดปกติเกี่ยวกับฟันหรือการสบฟัน หรือฟันห่างมีช่องว่างระหว่างฟันเนื่องจากการหลุดของฟันหรือฟันที่ยังขึ้นไม่เต็มฟันที่ขึ้นมาไม่เป็นระเบียบจนเกซ้อนกันฟันบนไม่สามารถสบได้พอดีกับฟันล่างหรือเมื่อสบฟันแล้วมีช่องว่างระหว่างฟันบนกับฟันล่างก็สามารถพามาเข้ารับการจัดฟันในเด็กได้เลย แต่ทั้งนี้ ระยะเวลาที่ใช้ในการจัดฟันประมาณ 1 ปีครึ่ง-3 ปี ขึ้นอยู่กับความผิดปกติของฟันว่ามีมากน้อยเพียงใด และต้องขึ้นอยู่กับความร่วมมือของเด็กด้วยว่าจะสามารถให้ความร่วมมือในการรักษาได้มากน้อยแค่ไหน

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุด ภายหลังการจัดฟันควรดูแลตนเองด้วยการรักษาความสะอาดของฟันและเครื่องมือจัดฟัน โดยใช้แปรงสีฟันสำหรับผู้ที่จัดฟันโดยเฉพาะ ทำความสะอาดภายหลังรับประทานอาหารทุกมื้อและก่อนเข้านอน รักษาเครื่องมือจัดฟันให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่ให้หลุดหักหรือบิดเบี้ยว ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่แข็งและเหนียวรวมทั้งของหวาน ระมัดระวังเมื่อเล่นกีฬาที่อาจเกิดการกระทบกระทั่งรุนแรง รวมถึงปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด และพบทันตแพทย์ตามนัดหมาย

ดังนั้นพ่อแม่ผู้ปกครองก็ควรสร้างทัศนคตที่ดีให้กับเด็กเพื่อให้เด็กได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีได้ หากใครสนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดฟันในเด็ก มีคาวมประสบการณ์อย่างยาวนานในด้านการจัดฟัน จึงทำให้มั่นใจได้ว่า บุตรหลานของท่านจะมีฟันที่สวยงาม มีฟันที่แข็งแรง สามารถบดเคี้ยวอาหารได้อย่างเต็มที่ ส่งผลทำให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีขึ้นด้วย

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุด ภายหลังการจัดฟันควรดูแลตนเองด้วยการรักษาความสะอาดของฟันและเครื่องมือจัดฟัน โดยใช้แปรงสีฟันสำหรับผู้ที่จัดฟันโดยเฉพาะ ทำความสะอาดภายหลังรับประทานอาหารทุกมื้อและก่อนเข้านอน รักษาเครื่องมือจัดฟันให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่ให้หลุดหักหรือบิดเบี้ยว ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่แข็งและเหนียวรวมทั้งของหวาน ระมัดระวังเมื่อเล่นกีฬาที่อาจเกิดการกระทบกระทั่งรุนแรง รวมถึงปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด และพบทันตแพทย์ตามนัดหมาย ดังนั้นพ่อแม่ผู้ปกครองก็ควรสร้างทัศนคตที่ดีให้กับเด็กเพื่อให้เด็กได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีได้

หากใครสนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิก เพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดฟันในเด็ก มีคาวมประสบการณ์อย่างยาวนานในด้านการจัดฟัน จึงทำให้มั่นใจได้ว่า บุตรหลานของท่านจะมีฟันที่สวยงาม มีฟันที่แข็งแรง สามารถบดเคี้ยวอาหารได้อย่างเต็มที่ ส่งผลทำให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีขึ้นด้วย

6
ชุดปฏิบัติธรรม ชุดแม่ชี เราเป็น โรงงานผลิตโดยตรง
ตัดเย็บปราณีต ทรงสวย เรียบหรู ดูสง่างดงาม
ผลิตจาก ผ้าฝ้ายแท้ 100% เกรดพรีเมียม

ชุดปฏิบัติธรรม ชุดขาวไปวัด ชุดแม่ชี
– ราคาแยกรายชิ้น –
ทอย้อมจากโรงงานอุตสาหกรรมชั้นดี
พร้อมส่งทุกไซส์
(กรณีสั่งตัดไซส์พิเศษ รอผลิต 7-10 วัน)
จัดส่งฟรี‼ เมื่อลูกค้าโอนชำระ
มีบริการเก็บเงินปลายทาง (+ตัวละ 10.-)

รับตัดชุดขาวไซส์ใหญ่พิเศษ
หมดกังวล หาไซส์ไม่ได้ ทางร้านเป็นโรงงานผลิตโดยตรง
สามารถสั่งตัดชุดได้ตามความต้องการ รอผลิต 7-10 วันทำการ

ร้านอริยทรัพย์ ชุดขาวปฏิบัติธรรม
เบอร์มือถือ :  092-926-4142 , 063-289-5356
Facebook : ชุดขาวปฎิบัติธรรม อริยทรัพย์
Instagram : ariyasub.shop
ID Line : @ariyasub (มี@)
เว็บไซด์: https://ariyasub99.com/
สนใจตัดชุดขาวไซซ์พิเศษ ติดต่อมาได้เลยค่ะ

สัมผัสประสบการณ์ใหม่
จากผ้าฝ้ายแท้ 100%
 นุ่มสบาย ไม่ร้อน ไม่ระคายคือง
ใส่ใจทุกขั้นตอนการผลิต ตั้งแต่การคัดสรรเนื้อผ้า
การตัดเย็บ รวมไปถึงการจัดส่งแบบปกติ
และจัดส่งเร่งด่วน (Kerry EMS Grab)

ชุดขาวปฎิบัติธรรม ชุดขาวหญิง ชุดแม่ชี คุณภาพ
เน้นคุณภาพใส่ใจทุกขั้นตอน ตัดเย็บงานผ้าฝ้ายคุณภาพ (cotton 100%)
สวมใส่สบาย ระบายความร้อนได้ดี ไม่อึดอัด

ชุดปฎิบัติธรรมชาย คุณภาพ
เน้นคุณภาพใส่ใจทุกขั้นตอน ตัดเย็บงานผ้าฝ้ายคุณภาพ (cotton 100%)
สวมใส่สบาย ระบายความร้อนได้ดี ไม่อึดอัด


ร้านอริยทรัพย์ ชุดขาวปฏิบัติธรรม
เบอร์มือถือ :  092-926-4142 , 063-289-5356
Facebook : ชุดขาวปฎิบัติธรรม อริยทรัพย์
Instagram : ariyasub.shop
ID Line : @ariyasub (มี@)
เว็บไซด์: https://ariyasub99.com/
สนใจตัดชุดขาวไซซ์พิเศษ ติดต่อมาได้เลยค่ะ



7
ขั้นตอน สร้างรายได้จากการขายของกิน สร้างอาชีพได้ ขายดี กำไรดีงาม

การสร้างรายได้จากการขายของกินเป็นอาชีพที่น่าสนใจและสามารถสร้างรายได้ที่ดีได้หากมีการวางแผนและการจัดการที่ดี ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนและเคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณเริ่มต้นธุรกิจอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ:


1. สำรวจความถนัดและความสนใจ:

ค้นหาเมนูที่ถนัด: เลือกเมนูอาหารที่คุณมีความเชี่ยวชาญและมั่นใจในรสชาติ เพื่อรักษาคุณภาพของอาหาร
ศึกษาตลาดและความต้องการ: สำรวจความต้องการของลูกค้าในพื้นที่ของคุณ เพื่อเลือกเมนูที่ได้รับความนิยมและมีโอกาสในการขายสูง


2. วางแผนธุรกิจ:

กำหนดกลุ่มเป้าหมาย: ระบุกลุ่มลูกค้าที่คุณต้องการเข้าถึง เช่น คนทำงาน นักเรียน นักศึกษา หรือคนรักสุขภาพ
สร้างแบรนด์: พัฒนาชื่อร้าน โลโก้ และเอกลักษณ์ของแบรนด์ เพื่อสร้างความน่าจดจำ
เลือกช่องทางการขาย: พิจารณาช่องทางการขายที่เหมาะสม เช่น ออนไลน์ (แอปพลิเคชันเดลิเวอรี่, โซเชียลมีเดีย) หรือออฟไลน์ (ตลาดนัด, จัดส่งตามออเดอร์)
กำหนดราคา: กำหนดราคาที่เหมาะสมกับต้นทุนและตลาด เพื่อให้ได้กำไรที่เหมาะสม
วางแผนการตลาด: กำหนดกลยุทธ์การตลาดเพื่อโปรโมทร้านค้าของคุณ เช่น การใช้รูปภาพและวิดีโอที่น่าสนใจ การจัดโปรโมชั่น หรือการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า


3. เตรียมความพร้อม:

จัดเตรียมอุปกรณ์และสถานที่: ตรวจสอบและเตรียมอุปกรณ์ทำอาหารให้พร้อมใช้งาน และจัดเตรียมสถานที่ทำอาหารให้สะอาดและถูกสุขอนามัย
จัดหาวัตถุดิบ: เลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพดีและสดใหม่ เพื่อให้ได้รสชาติอาหารที่ดีที่สุด
บรรจุภัณฑ์: เลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่สะอาด ปลอดภัย และสวยงาม เพื่อสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า
ขอใบอนุญาต (ถ้ามี): ตรวจสอบข้อกำหนดและขอใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องกับการทำอาหารขายในบ้าน


4. เริ่มต้นธุรกิจ:

ทำอาหารและขาย: เริ่มต้นทำอาหารและขายตามแผนที่วางไว้
รับฟังความคิดเห็น: รับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากลูกค้า เพื่อปรับปรุงคุณภาพและบริการ
พัฒนาตัวเอง: พัฒนาทักษะการทำอาหารและการจัดการธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
จัดการการเงิน: จัดการรายรับรายจ่ายอย่างเป็นระบบ และวิเคราะห์ผลกำไรเพื่อปรับปรุงธุรกิจ


ตัวอย่างเมนูอาหารที่น่าสนใจ:

อาหารตามสั่ง (เช่น ข้าวผัด, กะเพรา, ผัดซีอิ๊ว)
อาหารคลีน/อาหารเพื่อสุขภาพ (เช่น สลัด, อาหารกล่อง, น้ำผักผลไม้)
ขนมโฮมเมด (เช่น เค้ก, คุกกี้, ขนมไทย)
อาหารว่าง/ของทานเล่น (เช่น ลูกชิ้นทอด, ไก่ทอด, ขนมปังปิ้ง)


เคล็ดลับเพิ่มเติม:

สร้างความแตกต่าง: คิดค้นสูตรอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ หรือใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ
ทำการตลาด: ใช้โซเชียลมีเดียในการโปรโมทร้านค้า และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า
จัดการต้นทุน: ควบคุมต้นทุนวัตถุดิบและค่าใช้จ่ายอื่นๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
พัฒนาตัวเอง: เรียนรู้และปรับปรุงธุรกิจของคุณอย่างต่อเนื่อง
หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ในการเริ่มต้นธุรกิจอาหารของคุณ

8
การเริ่มต้นธุรกิจ อาชีพเสริม ของคุณเองให้ได้กำไร

การเริ่มต้นธุรกิจอาชีพเสริมให้ได้กำไรนั้นต้องอาศัยการวางแผนและการจัดการอย่างรอบคอบ ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนและเคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณเริ่มต้นธุรกิจอาชีพเสริมได้อย่างมีประสิทธิภาพ:

1. สำรวจความถนัดและความสนใจ:

ค้นหาทักษะและความสามารถ: พิจารณาว่าคุณมีความถนัดหรือความเชี่ยวชาญในด้านใด เช่น การทำอาหาร, งานฝีมือ, การออกแบบ, หรือการเขียน
ค้นหาความสนใจ: เลือกทำในสิ่งที่รักและสนใจ จะช่วยให้คุณมีความสุขและมีแรงจูงใจในการทำงาน
ศึกษาตลาด: สำรวจความต้องการของตลาด เพื่อหาช่องว่างและโอกาสในการสร้างธุรกิจ


2. วางแผนธุรกิจ:

กำหนดกลุ่มเป้าหมาย: ระบุกลุ่มลูกค้าที่คุณต้องการเข้าถึง
สร้างแบรนด์: พัฒนาชื่อ โลโก้ และเอกลักษณ์ของแบรนด์
เลือกช่องทางการขาย: พิจารณาช่องทางการขายที่เหมาะสม เช่น ออนไลน์, ออฟไลน์, หรือผสมผสาน
กำหนดราคา: กำหนดราคาที่เหมาะสมกับต้นทุนและตลาด
วางแผนการตลาด: กำหนดกลยุทธ์การตลาดเพื่อโปรโมทสินค้าหรือบริการของคุณ


3. เตรียมความพร้อม:

จัดเตรียมอุปกรณ์และสถานที่: เตรียมอุปกรณ์และสถานที่ที่จำเป็นสำหรับการทำธุรกิจ
ขอใบอนุญาต (ถ้ามี): ตรวจสอบข้อกำหนดและขอใบอนุญาตที่เกี่ยวข้อง
เตรียมเงินทุน: กำหนดงบประมาณและเตรียมเงินทุนที่จำเป็น


4. เริ่มต้นธุรกิจ:

สร้างสินค้าหรือบริการ: สร้างสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า
ทำการตลาด: โปรโมทธุรกิจของคุณผ่านช่องทางต่างๆ เช่น โซเชียลมีเดีย หรือการตลาดแบบปากต่อปาก
ขายสินค้าหรือบริการ: เริ่มต้นขายสินค้าหรือบริการของคุณให้กับลูกค้า


5. พัฒนาและเติบโต:

รับฟังความคิดเห็น: รับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากลูกค้า เพื่อปรับปรุงธุรกิจของคุณ
พัฒนาทักษะ: พัฒนาทักษะและความรู้ของคุณอย่างต่อเนื่อง
ขยายธุรกิจ: พิจารณาขยายธุรกิจของคุณเมื่อมีโอกาส


ตัวอย่างอาชีพเสริมที่น่าสนใจ:

ขายสินค้าออนไลน์: ขายสินค้าทำมือ สินค้าวินเทจ หรือสินค้าดรอปชิป
ให้บริการออนไลน์: ให้บริการเขียนบทความ ออกแบบกราฟิก หรือแปลภาษา
สร้างเนื้อหาออนไลน์: สร้างบล็อก ช่อง YouTube หรือพอดแคสต์
สอนออนไลน์: สอนภาษา สอนทำอาหาร หรือสอนทักษะอื่นๆ
ทำการตลาดออนไลน์: รับจ้างทำการตลาดออนไลน์ให้กับธุรกิจต่างๆ
อาหารสตรีทฟู้ด: ขายอาหารริมทางเช่น หมูปิ้ง ลูกชิ้นทอด หรือขนมต่างๆ
ขนมโฮมเมด: ทำขนมเค้ก คุกกี้ หรือขนมไทยขาย


เคล็ดลับเพิ่มเติม:

สร้างความแตกต่าง: สร้างความแตกต่างจากคู่แข่งด้วยการนำเสนอสินค้าหรือบริการที่ไม่เหมือนใคร
สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า: สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า เพื่อสร้างฐานลูกค้าประจำ
จัดการเวลา: จัดสรรเวลาให้เหมาะสมระหว่างงานประจำและธุรกิจเสริม
เรียนรู้และปรับตัว: เรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาด

การเริ่มต้นธุรกิจอาชีพเสริมให้ประสบความสำเร็จนั้นต้องอาศัยความอดทน ความพยายาม และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง

9
เครดิตไม่ดี! รีไฟแนนซ์บ้านยังไงให้ผ่านง่าย

การรีไฟแนนซ์บ้าน เป็นการย้ายไปขอสินเชื่อกับธนาคารใหม่ที่ให้ข้อเสนออัตราดอกเบี้ยถูกลงกว่าธนาคารเดิม โดยธนาคารจะใช้หลายๆ ปัจจัยประกอบการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ และเรื่องของคะแนนเครดิตก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ธนาคารใช้ประกอบการพิจารณาค่ะ ซึ่งหากเป็นผู้ที่มีเครดิตไม่ดี การรีไฟแนนซ์บ้านอาจดูเป็นเรื่องยากสักหน่อย วันนี้เราจะพามาดูวิธีการ และเทคนิคที่จะช่วยให้การขอรีไฟแนนซ์บ้านสำหรับคนที่เครดิตไม่ดี ให้ผ่านได้ง่ายขึ้นมาฝากกันนะคะ
 
คะแนนเครดิตไม่ดี หมายถึง คนที่มีประวัติทางการเงินที่แสดงถึงความไม่สามารถจัดการหนี้สินได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายหนี้ล่าช้า การผิดนัดชำระหนี้ หรือการมีหนี้สะสมมากเกินไปเมื่อเทียบกับรายได้ ส่งผลให้คะแนนเครดิตต่ำหรือเครดิตไม่ดี โดยปกติคะแนนเครดิตจะถูกใช้เป็นตัวบ่งชี้ว่าบุคคลนั้นมีความน่าเชื่อถือทางการเงินเพียงใด ซึ่งธนาคารหรือสถาบันการเงินจะตรวจสอบคะแนนเครดิตก่อนการอนุมัติสินเชื่อ หรือการให้บริการทางการเงินต่างๆ
 
คะแนนเครดิตไม่ดี ทำได้แบบนี้ รีไฟแนนซ์บ้าน ผ่านฉลุย

1. ปรับปรุงคะแนนเครดิต เข้าใจง่ายๆ เลยคือ ถ้าคะแนนเครดิตไม่ดี ก็ปรับปรุงให้ดีขึ้นเท่านั้นเองค่ะ โดยสามารถทำได้ตามขั้นตอน ดังนี้
 
ชำระหนี้ที่ค้างอยู่ให้ตรงตามกำหนดเวลา
ลดจำนวนบัตรเครดิตที่เปิดใช้งาน และพยายามลดภาระหนี้สินที่มีอยู่
หลีกเลี่ยงการสมัครสินเชื่อใหม่ในช่วงที่กำลังเตรียมการรีไฟแนนซ์บ้าน
หมั่นเช็กเครดิตบูโร หรือตรวจสอบรายงานเครดิตเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง หากพบข้อผิดพลาด หรือมีหนี้งอกโดยไม่รู้ตัว ให้รีบติดต่อแก้ไข


2. เลือกธนาคารหรือสถาบันการเงินที่มีเงื่อนไขยืดหยุ่น โดยบางธนาคารอาจมีการให้บริการสินเชื่อที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่มีคะแนนเครดิตต่ำ เช่น สินเชื่อแก้หนี้ สินเชื่อฟื้นฟูเครดิตต่างๆ หรือสินเชื่อเพื่อปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยอัตราดอกเบี้ยอาจจะสูงกว่าลูกค้าที่มีคะแนนเครดิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ก็จะช่วยเป็นอีกทางเลือกให้สามารถรีไฟแนนซ์บ้านผ่านได้ง่ายขึ้น และเมื่อคะแนนเครดิตดีขึ้นธนาคารอาจมีการขอปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ในอนาคต
 
3. หาผู้ค้ำประกัน หรือผู้กู้ร่วมที่มีเครดิตดี การหาผู้ค้ำประกันหรือผู้กู้ร่วมที่มีประวัติการเงินดี มีรายได้มั่นคง หนี้สินต่ำ และมีความน่าเชื่อถือ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้การขอรีไฟแนนซ์บ้านผ่านได้ง่ายขึ้น เนื่องจากผู้ค้ำประกันหรือผู้กู้ร่วมสามารถช่วยให้ธนาคารมั่นใจได้ว่า สินเชื่อก้อนนี้จะมีผู้ที่พร้อมรับผิดชอบหนี้ หากเกิดกรณีที่ผู้กู้หลักไม่สามารถชำระหนี้ต่อได้
 
4. แสดงหลักฐานทางการเงินที่มั่นคง ไม่ว่าจะเป็นเอกสารแสดงรายได้ เช่น ใบแจ้งรายได้หรือสลิปเงินเดือนย้อนหลัง หรือเอกสารเกี่ยวกับการถือครองทรัพย์สินต่างๆ เช่น บ้าน ที่ดิน หรือเงินฝาก เพราะหากมีรายได้เพียงพอ หรือมีการถือครองทรัพย์สินที่มีมูลค่า ก็สามารถช่วยสร้างความมั่นใจให้กับธนาคาร จนอาจมองเห็นโอกาสในการพิจารณาให้รีไฟแนนซ์ได้
 
5. ลดภาระหนี้อื่นๆ ก่อนการยื่นรีไฟแนนซ์บ้าน เป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือทางการเงินให้กับผู้ขอสินเชื่อ  และช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติจากธนาคาร รวมถึงอาจจะช่วยให้เงื่อนไขและอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากผู้ขอสินเชื่อจะดูมีความสามารถในการชำระหนี้ที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลดภาระหนี้ เช่น หนี้บัตรเครดิต หรือหนี้สินเชื่อบุคคลที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง หรือการรวมหนี้ให้เหลือเพียงสินเชื่อเดียวที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำลง เพื่อให้สามารถจัดการหนี้ที่คงเหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 
สรุปแล้ว การรีไฟแนนซ์บ้านสำหรับผู้ที่มีเครดิตไม่ดีก็สามารถทำได้ แต่ควรมีการวางแผนอย่างดี และเตรียมความพร้อมในเรื่องเอกสาร มีการทบทวน และปรับปรุงเครดิตของตนเอง รวมถึงการเลือกธนาคารที่เหมาะสม นอกจากนี้การแสดงสถานะทางการเงินที่มั่นคง จะช่วยเพิ่มโอกาสในการรีไฟแนนซ์บ้านให้สำเร็จได้ง่ายยิ่งขึ้นค่ะ

10
mobile expo: “realme GT 6 series” เผยโฉมครั้งแรกที่กรุงมิลาน เตรียมเปิดตัวทั่วโลกพร้อมกัน

realme (เรียลมี) แบรนด์สมาร์ตโฟนเพื่อคนรุ่นใหม่ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก เผยโฉม “realme GT 6” สมาร์ตโฟนเรือธงรุ่นล่าสุดจากตระกูล GT series ครั้งแรกอย่างเป็นทางการ ณ เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี พร้อมประกาศกำหนดการเปิดตัวพร้อมกันทั่วโลกในวันที่ 20 มิถุนายน 2567 แฟน ๆ เรียลมีตั้งตารอให้ดี เพราะงานนี้มีเซอร์ไพรส์แน่นอน!


การเปิดตัวผลิตภัณฑ์สมาร์ตโฟนพร้อมกันทั่วโลกในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญสำหรับ realme เนื่องจาก GT series จะเป็นมือถือระดับเรือธงของเรียลมีที่จะกลับมาผงาดในตลาดโลกอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนานถึงสองปี โดยนับตั้งแต่เปิดตัวสมาร์ตโฟน GT series รุ่นแรกเมื่อเดือนมีนาคม 2564 ก็ทำให้กลุ่มผลิตภัณฑ์ realme GT ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวาง ทั้งจากกลุ่มผู้ใช้งานทั่วไปและผู้ที่หลงใหลในเทคโนโลยีทั่วโลก


ชื่อเสียงอันโด่งดังได้ผลักดันการพัฒนาสมาร์ตโฟน GT series รุ่นล่าสุดให้ก้าวไปสู่การเป็น “นักฆ่าเรือธงคนใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่างเต็มประสิทธิภาพ” ซึ่งจะมอบความโดดเด่นเหนือกว่ารุ่นก่อนอย่างชัดเจน โดยรุ่น “realme GT 6” ซึ่งจะมาในฐานะนักฆ่าเรือธงเกรดพรีเมียม (Premium Flagship Killer) ตั้งเป้าหมายเพื่อจับตลาดสมาร์ตโฟนระดับไฮเอนด์เป็นหลัก ในขณะที่รุ่น “realme GT 6T” ตั้งเป้าเป็นนักฆ่าเรือธงที่เน้นประสิทธิภาพ (Performance Flagship Killer) โดยทั้งสองรุ่นมี

ประสิทธิภาพที่โดดเด่นและอัดแน่นด้วยฟีเจอร์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ มากมาย พร้อมที่จะมาสั่นสะเทือนมาตรฐานสมาร์ตโฟนโลกอีกครั้ง ในฐานะผู้พลิกโฉมวงการคนล่าสุด
realme GT series จะผสานขีดความสามารถของ AI ที่ล้ำสมัยเข้ากับการใช้งานโทรศัพท์อย่างราบรื่น โดยจะเข้ามาช่วยเพิ่มคุณภาพของการถ่ายภาพ การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้งาน และช่วยยกระดับประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างน่าทึ่ง ซึ่งสอดคล้องกับภารกิจอันยิ่งใหญ่ของเรียลมีในการทำให้เทคโนโลยี AI เป็นที่นิยมแพร่หลายในหมู่ผู้ใช้งานรุ่นใหม่ทั่วโลก

พิเศษ! เปิดโอกาสให้แฟน ๆ ชาวไทยได้เป็นเจ้าของก่อนใคร โดยเรียลมีเปิดให้เหล่าสาวกความแรงได้พรีออเดอร์ (Blind order) ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปผ่านช่องทางที่กำหนด
เตรียมพบงานเปิดตัว realme GT 6 series ทั่วโลกพร้อมกัน 20 มิถุนายนนี้ ถ่ายทอดสดผ่านทาง Facebook : realmeTH, YouTube : realme Thailand, TIKTOK : realme_thailand เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป

11
ปลล่อยรถราคาพิเศษ Toyota Hilux Revo D-Cab 2.4 Entry Z Edition โปรโมชั่นพิเศษ

โตโยต้า Toyota Revo Double Cab Z-Edition 4x2 2.4 Entry AT ปี 2022
Toyota Hilux Revo Double Cab Z Edition 4x2 2.4 Entry AT สำหรับรถกระบะตัวเตี้ย มีความหลากหลายในการใช้งาน ที่เหมาะสำหรับทั้งใช้ในชีวิตประจำวัน หรือทำธุรกิจ งานบรรทุก การค้าขายปลีก-ส่ง ซึ่งสามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ครบถ้วน โดยที่ผ่านมามีกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นที่ต้องการมีรถยนต์เป็นคันแรก โตโยต้าได้สร้างปรากฎการณ์ใหม่ ด้วย “Z-Edition ตัวเตี้ยหน้าหล่อ” ที่มีดีไซน์ที่โดนใจ เสริมทัพด้วยการจัดกิจกรรม “Racing Mania” ที่เป็นการรวมกลุ่มทำกิจกรรมของผู้ที่หลงใหลการแต่งรถ ให้มาแลกเปลี่ยนไอเดียกัน เพื่อเป็นการตอกย้ำความสำเร็จและครองความเป็นผู้นำในตลาดนี้อย่างต่อเนื่อง ได้พัฒนาให้มีรูปลักษณ์ใหม่ที่เท่ห์สะดุดตา ทันสมัย สวยเร้าใจในทุกมุมมอง สำหรับลูกค้าที่ต้องการความแตกต่างและโดดเด่น สามารถตกแต่งเพิ่มได้ตามความต้องการจากร้านรถแต่งชั้นนำ

Toyota Hilux Revo Double Cab Z Edition 4x2 2.4 Entry AT ด้านสมรรถนะมีขุมพลังจากเครื่องยนต์ GD Super Power 2.4 ลิตร ที่ให้การประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้น เพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์ความบันเทิงในรถ แบบหน้าจอสัมผัส Touchscreen ที่รองรับการใช้งาน Apple CarPlay

หมายเหตุ : รายละเอียดของรถยนตอ์าจมีการเปลี่ยนแปลงภายหลัง

รถผู้บริหาร รถทดลองขับ ไมล์น้อย ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

โปรโมชั่นพิเศษ
ตั้งแต่ 24 มี.ค. - 31 มี.ค. 2568
ส่วนลดจากป้ายแดง 100,000 บาท

ราคาพิเศษ 574,000 บาท

สนใจสอบถา มรายละเอียดกดลิ้ง https://www.checkraka.com/flashdeal/car

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์                 Toyota
   รุ่น                       โตโยต้า Toyota Revo Double Cab Z-Edition 4x2 2.4 Entry AT ปี 2022
   ประเภทรถ              รถกระบะ 4 ประตู
   ปีที่เปิดตัว               2022




12
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: หนังหุ้มปลายองคชาตตีบ (Phimosis)

ปกติหนังหุ้มปลายองคชาตของผู้ชายจะรูดเปิดจากปลายองคชาตขึ้นไปจนสุด คือพ้นจากส่วนของร่องหัวองคชาต (coronal sulcus) ได้ ผู้ชายบางคนอาจมีหนังหุ้มปลายองคชาตที่รัดตัว จนไม่สามารถรูดให้เปิดขึ้นได้ดังปกติ เรียกว่า หนังหุ้มปลายองคชาตตีบ (phimosis)

หนังหุ้มปลายองคชาตตีบอาจเป็นมากน้อยได้หลายลักษณะ ที่เป็นน้อยสุดคือรูดหนังหุ้มปลายขึ้นไปได้เกินกึ่งกลางของส่วนหัวองคชาต ที่เป็นมากสุดคือรูดหนังหุ้มปลายองคชาตแล้วไม่สามารถมองเห็นรูเปิดท่อปัสสาวะได้

โดยปกติทารกแรกเกิดจะยังคงมีหนังหุ้มปลายองคชาตปิดอยู่ เมื่ออายุมากขึ้นหนังหุ้มปลายองคชาตจะค่อย ๆ เปิดออกด้วยกลไกของการแข็งตัวตามกลไกธรรมชาติของร่างกายและขี้เปียก (smegma) จะคงเหลือหนังหุ้มปลายองคชาตปิดอยู่ประมาณร้อยละ 1 ที่อายุครบ 16 มีหนังหุ้มปลายองคชาตปิดและสามารถรูดจนสุด คือพ้นร่องหัวองคชาต (coronal sulcus)

สาเหตุ

เราสามารถแบ่งหนังหุ้มปลายองคชาตตีบออกเป็นชนิดปฐมภูมิ และทุติยภูมิ

1. ชนิดปฐมภูมิ เป็นความผิดปกติที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิด โดยไม่ทราบสาเหตุ

โดยปกติทารกแรกเกิดเกือบทุกคนจะยังคงมีหนังหุ้มปลายองคชาตปิดอยู่ ต่อมาหนังหุ้มปลายองคชาตจะค่อย ๆ เปิดออกด้วยกลไกของการแข็งตัวตามธรรมชาติของร่างกาย และหนังหุ้มปลายจะเปิดได้เต็มที่ราวครึ่งหนึ่งของเด็กที่มีอายุ 10 ปี ส่วนใหญ่จะเปิดได้เต็มที่เมื่ออายุมากกว่า 16 ปี

เด็กที่เป็นหนังหุ้มปลายองคชาตตีบจะมีหนังหุ้มปลายตีบกว่าเด็กปกติ ซึ่งจะมีอาการตั้งแต่แรกเกิด และมักตรวจพบเมื่ออายุมากกว่า 5 ปีขึ้นไป แต่ผู้ป่วยจะสังเกตเห็นและปรึกษาแพทย์เมื่อย่างเข้าวัยรุ่น ยกเว้นในเด็กเล็กที่หนังหุ้มปลายตีบอย่างมากและมีอาการผิดปกติปรากฏชัดเจน

2. ชนิดทุติยภูมิ เป็นภาวะผิดปกติที่ไม่ได้เป็นมาโดยกำเนิด มักพบในเด็กโตและผู้ใหญ่ อาจเกิดจากโรคผิวหนังอักเสบบางชนิด (เช่น โรคเกล็ดเงิน, Lichen planus ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาภูมิต้านตัวเอง เป็นต้น) หนังหุ้มปลายองคชาตอักเสบเรื้อรัง (chronic posthitis) โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (เช่น เริม หนองใน ซิฟิลิส) การผ่าตัด การฉายรังสี เป็นต้น เกิดเป็นแผลเป็นดึงรั้ง ทำให้หนังหุ้มปลายเปิดไม่ได้

ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะนี้ เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันต่ำ เกิดภาวะปลายองคชาตอักเสบและติดเชื้อมากกว่าคนทั่วไป


อาการ

ส่วนใหญ่มักจะไม่มีอาการแสดง อาการแสดงมักเกิดในผู้ที่เป็นมากหรือมีภาวะแทรกซ้อน อาทิ

    เด็กเล็ก อาจแสดงท่าทางของการเบ่งปัสสาวะ ร้องไห้เวลาปัสสาวะ ปัสสาวะไม่พุ่ง หรือหนังหุ้มปลายองคชาตโป่งพองคล้ายลูกโป่งขณะปัสสาวะ บางรายอาจมีหนังหุ้มปลายองคชาตอักเสบ (posthitis) บวมแดง มีหนอง หรือมีอาการของโรคติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ (เช่น ไข้ ซึม คลื่นไส้ อาเจียน เบื่อนมและอาหาร ปัสสาวะขุ่น)
    เด็กโตและผู้ใหญ่ อาจมีอาการถ่ายปัสสาวะไม่ออก หรือถ่ายลำบาก รู้สึกเจ็บปวดเวลาปัสสาวะ หรืออาจมีอาการเจ็บปวดเวลาองคชาตแข็งตัว บางรายอาจมีหนังหุ้มปลายองคชาตอักเสบ (posthitis) บวมแดง มีหนอง บางรายอาจมีภาวะหนังหุ้มปลายองคชาตร่นรัด (paraphimosis) แทรกซ้อน กล่าวคือ หนังหุ้มปลายองคชาตเกิดการรัดรอบร่องหัวองคชาต มีลักษณะบวมแดง มีอาการเจ็บปวด ปัสสาวะลำบาก และปลายองคชาตอาจกลายเป็นสีม่วงคล้ำ


ภาวะแทรกซ้อน

อาจทำให้ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะไม่ออก

อาจเกิดการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ (กระเพาะปัสสาวะอักเสบ กรวยไตอักเสบ) หนังหุ้มปลายองคชาตอักเสบ (posthitis) ปลายองคชาตอักเสบ (balanitis)

ผู้ที่มีหนังหุ้มปลายองคชาตตีบ พบว่ามีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งองคชาต เนื่องจากมีการระคายเคืองของขี้เปียก (smegma)

ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง คือ ภาวะหนังหุ้มปลายองคชาตร่นรัด (paraphimosis) เนื่องจากหนังหุ้มปลายองคชาตตีบในระดับหนึ่ง รูดหนังหุ้มปลายองคชาตเปิดขึ้นแล้วไม่สามารถรูดกลับมาได้ ทำให้เกิดการบวมของหนังหุ้มปลายที่ติดคารัดรอบร่องหัวองคชาต หากเป็นมากขึ้นอาจเกิดการกดหลอดเลือดแดง ทำให้ปลายองคชาตขาดเลือดจนเนื้อตายได้ ซึ่งจัดเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องไปโรงพยาบาลโดยด่วน


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ และการตรวจพบหนังหุ้มปลายองคชาตเปิดขึ้นไม่ได้ปกติ

การตรวจร่างกายจะพบว่ามีหนังหุ้มปลายองคชาตตีบ และในเด็กเล็กอาจตรวจพบหนังหุ้มปลายองคชาตแคบมาก บางรายเล็กเท่ารูเข็ม

อาจตรวจพบภาวะแทรกซ้อน เช่น หนังหุ้มปลายองคชาตอักเสบ บวมแดง มีหนอง ทางเดินปัสสาวะอักเสบ หรือภาวะหนังหุ้มปลายองคชาตร่นรัด

บางรายแพทย์อาจทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ นำหนองที่หนังหุ้มปลายไปตรวจหาเชื้อ เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การรักษาตามลักษณะและความรุนแรงของโรค

ในรายที่เป็นไม่มากและไม่มีอาการอะไร ก็จะให้คำแนะนำในการดูแลตนเอง (เช่น สอนพ่อแม่ผู้ปกครองเกี่ยวกับวิธีรูดเปิดหนังหุ้มปลายองคชาตให้เด็กทีละน้อยเป็นประจำทุกวัน บางกรณีอาจแนะนำให้ใช้สเตียรอยด์ชนิดครีมทาช่วยให้หนังหุ้มปลายนุ่มและรูดเปิดได้ง่ายขึ้น) และนัดติดตามดูอาการต่อไป สำหรับเด็กเล็ก ภาวะหนังหุ้มปลายองคชาตตีบอาจหายไปได้เองเมื่ออายุมากขึ้นหรือเมื่อย่างเข้าวัยหนุ่ม

ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะให้การรักษาตามภาวะที่พบ เช่น ให้ยาปฏิชีวนะรักษาโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ, ให้ยาปฏิชีวนะชนิดกิน หรือยาต้านเชื้อชนิดครีมทา รักษาหนังหุ้มปลายองคชาตอักเสบ, ทำการแก้ไขภาวะหนังหุ้มปลายองคชาตร่นรัด ซึ่งมีอยู่หลายวิธีรวมทั้งการผ่าตัดขริบปลาย เป็นต้น

ในรายที่ตรวจพบว่าเป็นเบาหวานร่วมด้วย ก็จะให้ยารักษาเบาหวาน

ในรายที่เป็นมาก มีอาการถ่ายปัสสาวะลำบาก หรือมีภาวะแทรกซ้อนบ่อย หรือรุนแรง แพทย์จะรักษาโดยการตัดหนังหุ้มปลายออก เรียกว่า การขริบปลาย (circumcision)

ในบางราย แพทย์อาจทำการผ่าตัดแยกหนังหุ้มปลายองคชาตออกจากปลายองคชาตแทนการขริบปลาย วิธีนี้ช่วยรักษาหนังหุ้มปลายไว้ แต่มีโอกาสเกิดภาวะหนังหุ้มปลายองคชาตตีบซ้ำได้


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น ถ่ายปัสสาวะไม่ออก ถ่ายปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะไม่พุ่ง หนังหุ้มปลายองคชาตโป่งพองคล้ายลูกโป่งขณะปัสสาวะ มีหนังหุ้มปลายองคชาตอักเสบ มีอาการเจ็บปวดเวลาองคชาตแข็งตัว หรือหนังหุ้มปลายองคชาตเปิดขึ้นไม่เท่าปกติ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นหนังหุ้มปลายองคชาตตีบ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ในรายที่มีการรักษาด้วยการขริบปลาย ต่อมาพบว่ามีอาการติดเชื้อเป็นหนองที่ปลายองคชาต หรือรอยแผลที่ขริบมีการอักเสบหรือเลือดออก หรือมีอาการถ่ายปัสสาวะลำบาก
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

1. สำหรับเด็กที่มีหนังหุ้มปลายองคชาตตีบชนิดปฐมภูมิโดยกำเนิด ยังไม่มีวิธีป้องกัน ควรหาทางป้องกันภาวะแทรกซ้อนด้วยการรีบไปปรึกษาแพทย์เมื่อสงสัยว่าจะมีภาวะนี้ และให้การดูแลรักษาตามที่แพทย์แนะนำ

2. สำหรับหนังหุ้มปลายองคชาตตีบชนิดทุติยภูมิซึ่งพบในเด็กโตและผู้ใหญ่ ซึ่งมักเป็นภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อในบริเวณปลายองคชาต อาจป้องกันด้วยการรักษาโรคติดเชื้อนั้นให้ได้ผล ดังนี้

    ดูแลสุขอนามัยบริเวณปลายองคชาต ด้วยการทำความสะอาดด้วยน้ำอุ่นทุกวันในระหว่างอาบน้ำ โดยดึงหนังหุ้มปลายองคชาตให้เปิดออกอย่างช้า ๆ และล้างทำความสะอาดผิวหนังข้างใต้ เสร็จแล้วใช้ผ้าสะอาดเช็ดให้แห้งทุกครั้ง แล้วรูดหนังหุ้มปลายให้กลับมาหุ้มปลายองคชาตตามเดิม และเพื่อป้องกันการระคายเคืองควรหลีกเลี่ยงการใช้สบู่ที่มีน้ำหอมหรือผสมสารเคมีในการทำความสะอาด และหลีกเลี่ยงการใช้แป้งฝุ่น และสารระงับกลิ่นใส่ที่ปลายองคชาต
    ปัองกันไม่ให้เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
    เมื่อสงสัยมีการอักเสบหรือมีแผลที่ปลายองคชาตและหนังหุ้มปลายองคชาต ควรรีบปรึกษาแพทย์ และดูแลรักษาให้หายขาด

ข้อแนะนำ

ปัจจุบัน ไม่แนะนำให้ทำการขริบปลายแก่เด็กทุกคน โดยที่ไม่มีภาวะหนังหุ้มปลายองคชาตตีบ และถึงแม้เด็กมีหนังหุ้มปลายตีบไม่รุนแรง (ซึ่งไม่มีอาการผิดปกติ) ก็ไม่จำเป็นต้องทำการขริบปลาย เพราะภาวะนี้มักจะหายได้เองเมื่ออายุมากขึ้น

แพทย์จะทำการขริบปลาย เมื่อพบว่ามีภาวะหนังหุ้มปลายตีบอย่างมาก มีอาการถ่ายปัสสาวะลำบาก หรือมีภาวะแทรกซ้อนบ่อย หรือรุนแรง

13
หมอประจำบ้าน: โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอส (ALS)

ALS (Amyotrophic Lateral Sclerosis) หรือโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอส เป็นโรคเกี่ยวกับระบบประสาทที่ส่งผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการอ่อนแรง กล้ามเนื้อกระตุก และกล้ามเนื้อลีบ ทั้งยังมีปัญหากับการพูด การเคี้ยว การกลืนอาหาร การเคลื่อนไหวร่างกาย และการหายใจ โดยอาจเกิดจากเซลล์ประสาทเสื่อมสภาพหรือถูกทำลาย และอาการจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนอาจเสียชีวิตได้ ซึ่งในปัจจุบันก็ยังไม่มีวิธีการรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้
อาการของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอส

โดยทั่วไป อาการมักเริ่มที่มือ เท้า แขน หรือขา แล้วจะค่อย ๆ กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย โดยผู้ป่วยอาจมีอาการ ดังนี้

    อ่อนแรงบริเวณแขน ขา มือ หรือเท้า จนมีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งอาจทำให้เกิดความยากลำบากในการเดิน อาจสะดุดล้ม หรือหยิบจับสิ่งของไม่สะดวก
    รู้สึกปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ลีบ และกระตุก รวมทั้งอาจมีอาการแข็งเกร็งบริเวณแขน ไหล่ และลิ้น
    พูดไม่ชัด เคี้ยวและกลืนอาหารลำบาก
    หายใจไม่สะดวก เนื่องจากไม่สามารถควบคุมกระบังลมได้ ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญที่ช่วยในการหายใจ
    ไม่มีแรงพยุงลำคอ ทำให้มีอาการคอตก

ทั้งนี้ ผู้ป่วยโรค ALS มักจะเสียชีวิตภายในเวลา 3-5 ปี เนื่องจากระบบทางเดินหายใจล้มเหลว อย่างไรก็ตาม บางรายอาจอยู่ได้นานกว่า 10 ปี ซึ่งขึ้นอยู่กับการดูแลร่างกายของแต่ละคนด้วย


สาเหตุของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอส

ในปัจจุบัน สาเหตุของโรค ALS ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่มีข้อสันนิษฐานว่าอาจเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้

    ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันหรือโปรตีนบางชนิดที่อาจทำให้เซลล์ประสาทตาย
    ความไม่สมดุลของสารเคมีในร่างกาย อย่างการมีระดับกลูตาเมตสูงเกินไป
    ปัจจัยทางพันธุกรรมที่ทำให้เซลล์ประสาทเสื่อมสภาพ
    การอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่มีปัจจัยหลายอย่างที่อาจนำไปสู่โรคนี้ได้ เช่น มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรค ALS มีอายุระหว่าง 40-60 ปี มีเพศชาย สัมผัสกับโลหะหรือสารเคมีบางชนิด มีอาการบาดเจ็บ ติดเชื้อจากบาดแผลอย่างรุนแรง สูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น

ทั้งนี้ อาจแบ่ง ALS ออกเป็น 2 ประเภทตามปัจจัยเสี่ยง คือ

    Sporadic ALS หรือ ALS ที่เกิดขึ้นเองโดยไม่พบปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจน พบมากกว่าร้อยละ 90 ของผู้ป่วยทั้งหมด
    Familial ALS หรือ ALS ที่เกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรม พบเพียงร้อยละ 5-10 ของผู้ป่วยทั้งหมด


การวินิจฉัยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอส

ในเบื้องต้น แพทย์อาจวินิจฉัยจากอาการของผู้ป่วย ซึ่งผู้ป่วยอาจบันทึกอาการในแต่ละวันเพื่อให้แพทย์พิจารณาอาการป่วยได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ แพทย์อาจประเมินจากประวัติโรค ALS ของคนในครอบครัวด้วย

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีวิธีวินิจฉัยโรค ALS ที่ชัดเจน แพทย์จึงมักใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อตรวจหาโรคอื่น ๆ ที่มีอาการคล้ายกันด้วย ดังนี้

    การตรวจคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ ใช้ประเมินกิจกรรมทางไฟฟ้าของกล้ามเนื้อ เพื่อวินิจฉัยโรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อและระบบประสาท
    การชักนำประสาท เป็นการตรวจโดยกระตุ้นเส้นประสาท เพื่อวัดความเร็วและความแรงของสัญญาณประสาท
    การตรวจภาพถ่ายจาก MRI Scan เป็นการถ่ายภาพด้วยคลื่นสนามแม่เหล็ก โดยแพทย์อาจใช้วิธีนี้เพื่อตรวจหาโรคหรือภาวะอื่นที่ทำให้เกิดอาการคล้ายกับโรค ALS ด้วย เช่น เนื้องอกในไขสันหลัง และโรคหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาท เป็นต้น
    การตรวจเลือดและปัสสาวะ แพทย์อาจตรวจเลือดและปัสสาวะเพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุของอาการให้ละเอียดยิ่งขึ้น เนื่องจากผู้ป่วยโรค ALS ในระยะแรกอาจมีอาการคล้ายกับโรคอื่น ๆ
    การเจาะน้ำไขสันหลัง เป็นการเจาะนำน้ำที่หล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลังมาตรวจ เพื่อวินิจฉัยโรคที่เกิดขึ้นกับสมองและระบบประสาทส่วนกลาง
    การตัดชิ้นเนื้อตัวอย่าง เป็นการนำตัวอย่างชิ้นเนื้อของกล้ามเนื้อมาตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการอย่างละเอียด เพื่อวินิจฉัยโรคและยังใช้ตรวจหาสาเหตุของโรคกล้ามเนื้ออื่น ๆ ได้ด้วย


การรักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอส

ALS เป็นโรคที่ไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้ แต่แพทย์ก็มีวิธีรักษาเพื่อชะลอการดำเนินโรค บรรเทาอาการต่าง ๆ และป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนตามดุลยพินิจของแพทย์ ดังนี้

การรักษาด้วยยา
ยาที่แพทย์มักใช้รักษาผู้ป่วยโรค ALS คือ ยาไรลูโซล (Riluzole) ที่อาจช่วยชะลอการดำเนินโรคโดยออกฤทธิ์ต้านสารกลูตาเมต ยานี้อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงบางอย่าง เช่น เวียนศีรษะ ส่งผลให้เกิดความผิดปกติในระบบทางเดินอาหารและการทำงานของตับ เป็นต้น และยาอีดาราโวน (Edaravone) ที่อาจช่วยลดการเสื่อมของเซลล์ประสาท นอกจากนี้ แพทย์อาจให้ยาเพื่อบรรเทาอาการอื่น ๆ ด้วย เช่น ยาบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ ยารักษาอาการหลั่งน้ำลายมากเกินไป และยารักษาภาวะซึมเศร้า เป็นต้น

การบำบัด
ผู้ป่วยอาจบรรเทาอาการด้วยวิธีการบำบัดต่าง ๆ เช่น

    กายภาพบำบัด ผู้ป่วยสามารถออกกำลังกายด้วยวิธีที่ไม่ต้องใช้แรงมาก เช่น การเดิน การว่ายน้ำ การปั่นจักรยานอยู่กับที่ เป็นต้น เพื่อช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับความเมื่อยล้าและภาวะซึมเศร้า
    อรรถบำบัด เป็นการฟื้นฟูความผิดปกติทางการพูด การออกเสียง และการกลืน
    กิจกรรมบำบัด เป็นการบำบัดเพื่อทำให้ผู้ป่วยสามารถช่วยเหลือตนเองและใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ ทั้งการใช้อุปกรณ์เพื่อช่วยในกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การแต่งกาย การอาบน้ำ เป็นต้น รวมถึงควรจัดวางสิ่งของในที่อยู่อาศัยเพื่อให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวได้อย่างสะดวกมากขึ้น
    โภชนบำบัด เป็นการดูแลเรื่องอาหารการกินของผู้ป่วย เพื่อให้ได้รับแคลอรี่และสารอาหารที่เหมาะสม โดยให้เลี่ยงอาหารที่กลืนได้ยาก เพื่อป้องกันการสำลัก และในบางกรณีอาจต้องใส่ท่อให้อาหารเข้าไปในกระเพาะอาหารด้วย
    การช่วยเหลือด้านจิตวิทยาและสังคม ผู้ป่วยอาจต้องได้รับความช่วยเหลือจากนักสังคมสงเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องการเงิน ประกันสุขภาพ และค่าอุปกรณ์ต่าง ๆ รวมทั้งความช่วยเหลือจากนักจิตวิทยา เพื่อให้ได้รับการดูแลด้านสภาพจิตใจและอารมณ์ของทั้งตัวผู้ป่วยและครอบครัว

การใช้เครื่องช่วยหายใจ
หากเกิดความผิดปกติเกี่ยวกับกล้ามเนื้อที่ช่วยในการหายใจจนทำให้ผู้ป่วยหายใจไม่สะดวก แพทย์อาจต้องให้ผู้ป่วยใช้เครื่องช่วยหายใจ
ภาวะแทรกซ้อนของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอส

ผู้ป่วย ALS อาจมีปัญหาในการพูด ซึ่งส่งผลให้ผู้ป่วยไม่สามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้ จนอาจต้องอาศัยเทคโนโลยีอื่น ๆ เพื่อช่วยในการสื่อสาร รวมทั้งการเคี้ยวอาหารและการกลืนที่ยากลำบากก็อาจทำให้ผู้ป่วยสำลักอาหาร และอาจทำให้เกิดภาวะทุพโภชนาการได้

นอกจากนี้ ผู้ป่วยบางรายอาจสมองเสื่อมจากการได้รับผลกระทบด้านความคิด ความจำ และการตัดสินใจ จนทำให้อาจมีบุคลิกภาพที่เปลี่ยนไปหรือไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ ยิ่งไปกว่านั้น โรค ALS อาจส่งผลต่อกล้ามเนื้อที่ช่วยในการหายใจ ทำให้ผู้ป่วยหายใจลำบาก ทั้งยังอาจทำให้ปอดบวมหรือระบบทางเดินหายใจล้มเหลวได้ ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดในการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคนี้ด้วย 


การป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอส

เนื่องจากยังไม่สามารถระบุสาเหตุของการเกิดโรคนี้ในผู้ป่วยส่วนใหญ่ได้ จึงทำให้ยังไม่มีวิธีป้องกันการเกิดโรคที่แน่นอน แต่อาจลดความเสี่ยงของโรคได้ โดยปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอด้วยการออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่เหมาะสม
    ไม่สูบบุหรี่ และไม่ดื่มแอลกอฮอล์
    หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารโลหะหรือสารเคมีอันตราย หากต้องทำงานที่เกี่ยวข้องกับการสัมผัสสิ่งเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีลดความเสี่ยง
    หากพบว่าคนในครอบครัวมีอาการที่เป็นสัญญาณบ่งบอกโรคนี้ ให้รีบไปปรึกษาแพทย์ทันที

สำหรับผู้ป่วย ALS เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ควรไปปรึกษานักประสาทวิทยา นักกายภาพบำบัด นักโภชนาการ นักกิจกรรมบำบัด นักสังคมสงเคราะห์ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต

14
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
เรา
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


15
motor show GWM TANK เปิดสเปกรถ 300 ที่มากับเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T พร้อมยกระดับการขับขี่ใน-นอกเมืองให้ดียิ่งกว่า กับการรับประกันเครื่องยนต์ถึง 1 ล้านกิโลเมตร

GWM (Thailand) ยกระดับประสบการณ์การขับขี่ให้ดียิ่งกว่าเดิมกับ NEW GWM TANK 300 DIESEL ที่พร้อมให้ชาวไทยได้สัมผัสอย่างใกล้ชิดและจับจองในงาน มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 พร้อมเผยจุดเด่นหลากหลายด้าน ด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนเนอเรชันใหม่ล่าสุด ฉีกกฏเครื่องยนต์ดีเซลทั่วไป ให้ประสบการณ์การขับขี่ที่นิ่ง เงียบ และนุ่มนวลกว่าเคย แต่ยังคงพละกำลังและสมรรถนะสูงในทุกการรขับขี่ พร้อมประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่ดีมากขึ้น และการรับประกันคุณภาพเครื่องยนต์ที่ยาวนานถึง 1,000,000 กิโลเมตร (หรือ 8 ปี) มอบประสบการณ์การขับขี่ทั้งในเมืองและนอกเมือง ออนโรดและออฟโรดได้อย่างยอดเยี่ยม ผสานความหล่อ เท่ ได้อย่างโดดเด่นทุกเส้นทางด้วยรูปทรงสไตล์ Premium Boxy อันเป็นเอกลักษณ์

เวย์น โจว กรรมการผู้จัดการ GWM (Thailand) กล่าว “GWM (Thailand) ภูมิใจนำเสนอนวัตกรรมล้ำหน้าด้วยเทคโนโลยีที่เป็นความเชี่ยวชาญของเรา ที่เฝ้าพัฒนามายาวนานกว่า 30 ปี กับเครื่องยนต์ดีเซลของ GWM ที่ได้รับการยอมรับจากผู้ใช้งานทั่วโลก เราตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่คนไทยจะได้สัมผัสกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ที่มาจากการรับฟังเสียงของผู้บริโภค สู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ชาวไทยมากยิ่งขึ้น เพื่อประการณ์การขับขี่ที่ดียิ่งกว่าในทุกมิติ สอดคล้องกับแนวคิดในการดำเนินธุรกิจ GWM Go With More และกลยุทธ์ User-Centric โดย NEW GWM TANK 300 DIESEL กับเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนเนอเรชันใหม่ล่าสุดนี้  มาพร้อมกับ 3 รุ่นย่อย เพื่อตอบโจทย์สายลุยพร้อมโชว์ความหล่อทั้งในเมืองนอกเมือง ให้ได้เลือกรุ่นที่ใช่ ทั้ง NEW GWM TANK 300 DIESEL รุ่น 2.4T PRO, รุ่น 2.4T ULTRA และ รุ่น 2.4T ULTRA 4WD เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า รถยนต์คันนี้จะมาสร้างนิยามใหม่ของรถเอสยูวีเครื่องยนต์ดีเซล และจะได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากแฟน ๆ ชาวไทย”

เครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนเนอเรชันใหม่ล่าสุด นิ่ง เงียบ นุ่มนวล พร้อมอัตราการบริโภคน้ำมันที่มีประสิทธิภาพ กล้ารับประกันคุณภาพยาวนานถึง 1 ล้านกิโลเมตร!
NEW GWM TANK 300 DIESEL ทั้ง 3 รุ่น มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T และระบบคอมมอนเรลแรงดันสูง 2,000 บาร์ เทอร์โบแปรผัน (VGT) ท่อร่วมไอดีแบบคู่ที่ฝาสูบ Exhaust Gas Recirculation (EGR) และระบบปั้มน้ํามันเครื่องแบบแปรผัน ทำให้เครื่องยนต์สร้างพละกำลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเผาไหม้ที่สมบูรณ์ยิ่งขี้น ช่วยลดการปล่อย์ไอเสีย NOx และประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง โดยอัตราการบริโภคน้ำมันของ NEW GWM TANK 300 DIESEL อยู่ที่ 14 กิโลเมตรต่อลิตร (ตามมาตรฐานการทดสอบ Eco sticker ในประเทศไทย) สำหรับรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ) ซึ่งน้ำมันหนึ่งถัง (ดีเซล B7) สามารถขับขี่ได้ระยะทางไกลมากกว่า 1,000 กิโลเมตร อีกทั้งยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีลดการสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์และการพัฒนาเทคโนโลยีในการลดเสียงรบกวน NVH (Noise, Vibration, Harshness) ที่ยอดเยี่ยม ระดับเสียงภายในห้องโดยสารต่ำกว่า 68 เดซิเบลในช่วง idle speed ให้ประสบการณ์การขับขี่ที่เงียบสงบ นิ่ง ไม่สั่น ช่วยให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นและสะดวกสบายในทุกสภาพถนน จากเทคโนโลยีและโครงสร้างการออกแบบที่เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดการใช้พลังงาน ลดเสียงและการสั่นสะเทือน ทำให้เครื่องยนต์รุ่นนี้มีความทนทานสูง GWM มั่นใจในคุณภาพของเครื่องยนต์เซ็ตนี้ จึงกล้าสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าด้วยการมอบการรับประกันคุณภาพที่ยาวนานและครอบคลุมมากขึ้นถึง 1 ล้านกิโลเมตร (หรือ 8 ปี)

สมรรถนะดีเยี่ยม แรงม้าแรงบิดเร้าใจ ช่วงล่างแน่นหนึบ ตอบโจทย์ทุกการขับขี่
NEW GWM TANK 300 DIESEL ทั้ง 3 รุ่น มอบพละกำลังสูงสุด 135 กิโลวัตต์ หรือ 184 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดถึง 480 นิวตันเมตร ที่รอบเครื่อง 1,500 – 2,500 รอบต่อนาที พร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด (9AT) มอบการตอบสนองที่รวดเร็วทันใจ นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับระบบจ่ายเชื้อเพลิงแบบไดเร็คอินเจคชั่นแบบคอมมอนเรลแรงดันสูง 2,000 บาร์ กระบอกสูบที่ให้ความจุมาถึง 2,370 ซีซี และถังน้ำมันเชื้อเพลิงขนาดใหญ่ถึง 78 ลิตร มอบประสบการณ์ที่เหนือกว่า ตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่มองหารถเอสยูวีที่มีประสิทธิภาพการขับขี่และความคุ้มค่าที่มากขึ้น
NEW GWM TANK 300 DIESEL ได้รับการปรับแต่งช่วงล่างใหม่ทั้งหมดเพื่อตอบโจทย์ความชื่นชอบในการขับขี่ของคนไทยมากยิ่งขึ้น ระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระ ดับเบิ้ล วิชโบน (Double wishbone) และระบบกันสะเทือนหลังแบบมัลติลิงค์
NEW GWM TANK 300 DIESEL ในรุ่น 2WD มาพร้อมโหมดการขับขี่ 3 รูปแบบ ได้แก่ โหมดปกติ โหมดสปอร์ต โหมดประหยัด ในรุ่น 4WD มาพร้อมโหมดการขับขี่ 9 โหมด ได้แก่ โหมดขับเคลื่อน 2 ล้อ (2H) และโหมดการขับขี่แบบออฟโรด ได้แก่ โหมดการขับเคลื่อน 4 ล้อ (4H) โหมดการขับเคลื่อน 4 ล้อแบบอัตราทดเกียร์ต่ำ (4L) โหมดพื้นหิมะ โหมดพื้นหิน โหมดพื้นทราย โหมดภูเขา โหมดพื้นหลุมบ่อ และโหมดผู้เชี่ยวชาญ ทั้ง 3 รุ่นติดตั้งระบบแสดงภาพ 540 องศา (ระบบกล้องรอบคัน 360 องศา และระบบแสดงภาพใต้ท้องรถ (Body transparent)) ระบบ Intelligent Start-Stop และโหมดช่วยผ่อนแรงพวงมาลัยมาอีก 3 โหมด ได้แก่ โหมดเบา โหมดสบาย และโหมดสปอร์ต ที่ช่วยให้สามารถปรับความหนักเบาของพวงมาลัยให้เหมาะสมกับการขับขี่ในแต่ละสภาพการใช้งาน และตอบสนองได้ตามความต้องการของผู้ขับขี่ได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้
NEW GWM TANK 300 DIESEL ทั้ง 3 รุ่น ยังมาพร้อมกับ ระบบเบรกหน้าและหลังแบบดิสก์เบรก ที่มีครีบระบายความร้อนสี่ล้อ ซึ่งช่วยให้การทำงานของเบรกมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
NEW GWM TANK 300 DIESEL รุ่น 2.4T ULTRA 4WD ยังมาพร้อมระบบล็อกเฟืองขับด้านหลังแบบไฟฟ้า (Rear electric differential lock) พร้อมระบบช่วยกลับรถในพื้นที่แคบ (TANK TURN) และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบ Off-road ช่วยให้ทุกการผจญภัยเต็มอิ่มไปด้วยความสนุกสนาน

หล่อ เท่ ทั้งภายนอกและภายใน คงเอกลักษณ์ด้วยสไตล์ Premuim BOXY จัดเต็มความบันเทิงและความสะดวกสบาย
NEW GWM TANK 300 DIESEL ให้ภาพลักษณ์ที่โดดเด่นและไม่เหมือนใครตั้งแต่หน้ารถจรดท้ายรถ ด้วยมิติตัวรถ 1,930 x 4,760 x 1,903 มม. (กว้าง x ยาว x สูง) ที่มาพร้อมระยะฐานล้อ 2,750 มม. กระจังหน้าแบบ Rectangle ตัดขอบสีดำเงาที่รวมการจัดเรียงของไฟหน้าทรงกลมตัด DRL ทรงเหลี่ยมผสานเข้ากับตัวรถ รับด้วยช่องระบายอากาศสีดำเงาและโลโก้ TANK เสริมความเท่ด้วยกันชนดีไซน์ออฟโรดร่วมสมัย บังโคลนขนาดใหญ่ และบันไดข้าง รับดีไซน์หลังแบบออฟโรดด้วยประตูท้ายแบบ Horizontal ไฟหน้า LED อัจฉริยะ พร้อมระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ระบบปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ และฟังก์ชันหน่วงเวลาไฟส่องทางหลังดับเครื่องยนต์ (Follow Me Home) ร่วมกับระบบไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED และระบบไฟท้ายแบบ Vertical LED กระจกมองข้างปรับและพับด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมไฟเลี้ยว (เฉพาะ NEW GWM TANK 300 DIESEL รุ่น 2.4T ULTRA และ 2.4T ULTRA 4WD ที่มาพร้อมระบบจดจำตำแหน่ง) ใน NEW GWM TANK 300 DIESEL รุ่น 2.4T ULTRA 2WD และ ULTRA 4WD มาพร้อมหลังคาซันรูฟแบบ เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า เพิ่มความหรูหรา พร้อมราวหลังคาถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มพื้นที่วางของบนหลังคารถ อีกทั้งเสริมลุคแกร่งด้วย ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้วสีดำเปียโนแบล็ค พร้อมยาง H/T ขนาด 265/65 R17 พร้อมกับล้ออะไหล่ติดตั้งที่ประตูท้าย มอบความเท่ ผสานกับดีไซน์ภายนอกของตัวรถได้เป็นอย่างดี

ให้ผู้ขับขี่เพลิดเพลิน มั่นใจ และปลอดภัยในทุกการเดินทาง ไปกับพวงมาลัยพร้อมสวิตช์ควบคุมเครื่องเสียงและสวิตช์ควบคุมจอแสดงข้อมูลการขับขี่ เกียร์แบบ Electronic Shifter ชุดเกียร์ไฟฟ้าที่มาพร้อมกับดีไซน์เรียบหรูบริเวณคอนโซลกลาง พร้อมระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ (Paddle shift) และระบบเบรกมือไฟฟ้า พร้อมฟังก์ชันหยุดอัตโนมัติขณะรถหยุดนิ่ง (Auto Brake Hold) อีกทั้งยังมีกุญแจ Smart Key และระบบ Push start system ช่วยให้ผู้ขับขี่สตาร์ทเครื่องยนต์ได้ง่ายมากยิ่งขึ้น รวมถึงการเสริมความปลอดภัยและความสะดวกสบายในทุกการขับขี่

เบาะนั่งภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยวัสดุสุดพรีเมียม ด้วยวัสดุหุ้มเบาะหนังสังเคราะห์ สามารถปรับเบาะคนขับไฟฟ้าได้ 6 ทิศทาง  สำหรับ NEW GWM TANK 300 DIESEL รุ่น 2.4T ULTRA ทั้ง 2 รุ่น จะเป็นเบาะหนัง Nappa และหนังสังเคราะห์ะให้สัมผัสที่หรูหราและสบายกว่าที่เคย เบาะคนขับปรับไฟฟ้าได้ถึง 8 ทิศทาง พร้อมระบบบันทึกตำแหน่ง ระบบ welcome seat ควบคู่ไปกับระบบระบายอากาศ พร้อมดันหลังไฟฟ้า 4 ทิศทางและระบบนวดไฟฟ้า นอกจากความสะดวกสบายที่ผู้ขับขี่ได้รับแล้ว ใน NEW GWM TANK 300 DIESEL ทั้ง 3 รุ่น ยังมอบความสะดวกสบายให้ทุกที่นั่งไม่แพ้กัน ด้วยระบบปรับพนักพิง และพนักพิงเบาะพับได้แบบ 60:40 ที่มาพร้อมกับที่พักแขนตอนกลาง พร้อมที่วางแก้ว   

NEW GWM TANK 300 DIESEL มาพร้อมหน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว ร่วมกับหน้าจอมัลติมีเดียแบบสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว ที่รองรับทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto พร้อมให้สัมผัสกับความบันเทิงอีกขั้น ด้วยลำโพงถึง 6 ตำแหน่ง สำหรับ NEW GWM TANK 300 DIESEL รุ่น 2.4T PRO และลำโพง 8 ตำแหน่ง พร้อมซับวูฟเฟอร์ Online Music และ Online Radio ในรุ่น 2.4T ULTRA  และ 2.4T ULTRA 4WD ให้คุณภาพเสียงระดับสูงและรอบทิศทาง

NEW GWM TANK 300 DIESEL รุ่น 2.4T ULTRA ทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมระบบปรับอากาศอัตโนมัติด้านหน้าแยกอิสระซ้าย-ขวา พร้อมกับระบบชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย ระบบนำทาง ระบบสั่งการด้วยเสียง (Voice Command) ระบบตรวจจับ PM 2.5 Ionizer และที่กรองอากาศชนิด N95 พร้อมช่องต่อ USB สำหรับผู้โดยสารด้านหน้าและหลัง และช่องต่อ USB สำหรับกล้องบันทึกภาพ พร้อมช่องจ่ายไฟสำรอง (12V) และช่องจ่ายไฟสำรอง (220V)

จัดเต็มกับนวัตกรรมความปลอดภัยขั้นสูง มั่นใจในทุกการขับขี่
ความปลอดภัยต้องมาอันดับหนึ่ง NEW GWM TANK 300 DIESEL มาพร้อมกับเทคโนโลยีอัจฉริยะจำนวน 25 รายการ ทั้งที่เป็น Active Safety และ Passive Safety เพื่อให้ทุกการเดินทางของผู้ขับขี่และผู้โดยสารเต็มไปด้วยความปลอดภัยและมั่นใจสูงสุด อาทิ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมการช่วยเข้าโค้งอัจฉริยะ ถุุงลมนิรภัยจำนวน 6 จุด  ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลนหรือออกนอกเลน ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน ระบบช่วยรักษาระยะให้อยู่กลางเลน การแจ้งเตือนการขับรถเร็วเกินกำหนด ระบบช่วยชะลอความรุนแรงของการชนครั้งที่ 2 ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติบนทางตรงและทางแยก ระบบช่วยเตือนและเบรกเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX และระบบล็อกป้องกันเด็ก และอื่น ๆ อีกมากมาย (โปรดศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์แต่ละรุ่นเพิ่มเติม)

เตรียมพิสูจน์นวัตกรรมแห่งเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนเนอเรชันใหม่ล่าสุด ใน NEW GWM TANK 300 DIESEL ที่พร้อมจะปฎิวัติรถยนต์ SUV กับเครื่องยนต์ดีเซลรูปแบบเดิมๆ ในประเทศไทยไปตลอดกาล เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ดียิ่งขึ้นในทุกมิติ จากทั้ง 3 รุ่น ได้แก่ NEW GWM TANK 300 DIESEL รุ่น 2.4T PRO, NEW GWM TANK 300 DIESEL รุ่น 2.4T ULTRA และ NEW GWM TANK 300 DIESEL รุ่น 2.4T ULTRA 4WD พร้อมเผยราคาอย่างเป็นทางการภายในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 ในวันที่ 25 มีนาคม 2568 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้

หน้า: [1] 2 3 ... 45