แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 57
1
จัดฟันบางนา: ความเสี่ยง หลังจากการฝังรากฟันเทียม !

การรักษาด้วยการฝังรากฟันเทียม มีข้อจำกัดในการรักษาค่อนข้างมาก และไม่สามารถทำการรักษาด้วยวิธีดังกล่าวได้ทุกคน ด้วยผู้เข้ารับการรักษาที่มีโรคประจำตัวเช่น โรคเบาหวานที่มีความรุนแรง โรคกระดูกพรุน หรือโรคที่มีความบกพร่องทางพันธุกรรม ซึ่งผู้เข้ารับการรักษาที่เป็นโรคเหล่านี้ จะไม่สามารถเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียมได้ การฝังรากฟันเทียม เป็นการรักษาทางทันตกรรมที่ใช้ทดแทนการสูญเสียฟันธรรมชาติไป ซึ่งการฝังรากฟันเทียมจะต้องมีการผ่าตัดเพื่อทำการฝังรากฟันเทียมไว้บนกระดูกขากรรไกร ที่จะใช้เพื่อรองรับรากฟันเทียม

โดยที่ทันตแพทย์จะทำการพิจารณาช่องปากของผู้ที่เข้ารับการรักษาว่ามีความพร้อมมากน้อยแค่ไหน ซึ่งการฝังรากฟันเทียมจะพิจารณาบริเวณใกล้เคียงที่จะทำการฝังรากฟันเทียม สภาพเหงือก และที่สำคัญความหนาแน่น ความแข็งแรงของกระดูกที่จะใช้เพื่อรองรับรากฟันเทียมที่จะต้องมีความหนาความแข๊งแรงมั่นคงมากพอที่จะสามารถรองรากฟันเทียมได้ หากกระดูกรองรับฟันมีความไม่แข็งแรง ทันตแพทย์จะทำการปลูกกระดูกฟัน เพื่อให้มีความหนาแน่นเพียงพอต่อการใช้รองรับรากฟันเทียม เพราะไม่อย่างนั้นหากทำการฝังรากฟันเทียมลงไป โดยที่มีกระดูกที่ไม่พร้อม อาจจะทำให้การรักษาล้มเหลวได้

เพราะฉะนั้นการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม ถึงแม้ว่าจะเป็นที่นิยมของผู้ที่ต้องการที่จะกลับมามีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงาม และอยากมีฟันที่แข็งแรงสามารถใช้งานได้เป็นปกติ แต่การฝังรากฟันเทียมก็มีความเสี่ยงอยู่ไม่น้อย เพราะการฝังรากฟันเทียม จะต้องทำการผ่าตัดเพื่อทำการฝังรากฟันเทียมลงไปบนกระดูก ซึ่งอาจจะส่งผลให้เกิดการอักเสบหรือติดเชื้อได้ง่าย หากผู้เข้ารับการรักษาไม่ปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของทันตแพทย์ผู้ทำการรักษา สำหรับความเสี่ยงและผลข้างเคียงของการรักษาด้วยการฝังรากฟันเทียม ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยคือบาดแผลจากการผ่าตัด

ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอาการปวดของบาดแผลได้ รวมไปถึงอาจจะทำให้เลือดไหลไม่หยุด และอาจจะเสี่ยงต่อการอักเสบและติดเชื้อได้ หากมีอาการดังกล่าวที่ผิดปกติ ผู้เข้ารับการรักษาจะต้องทำการปรึกษาทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการแก้ไขอย่างเร็วที่สุด ต่อมาอาการบวมช้ำหรือจ้ำเลือดภายหลังจากการผ่าตัด ซึ่งอาการบวมถือเป็นเรื่องที่ปกติมาก สำหรับการผ่าตัดไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบใด แต่หากอาการบวมช้ำ เมื่อผ่านไปสักระยะกลับไม่ดีขึ้น จะต้องเข้ารับการตรวจเพื่อแก้ไขปัญหา นอกจากนี้ความเสี่ยงในเรื่องของการติดเชื้อบริเวณบาดแผล เนื่องด้วยการฝังรากฟันเทียม เป็นการผ่าตัดที่มียาดแผลอยู่ภายในช่องปาก ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย ดังนั้นผู้เข้ารับการรักษาจะต้องดูแลรักษาทำความสะอาดบาดแผลอย่างดีที่สุด

นอกจากนี้การอักเสบติดเชื้อ หรืออาการต่างๆที่เป็นความเสี่ยงหรือผลข้างเคียงภายหลังจากที่เข้ารับการผ่าตัดฝังรากฟันเทียมแล้ว การหลุดหลวมของรากฟันเทียมที่ทันตแพทย์ได้ทำการใส่ภายหลังจากที่ทำการผ่าตัด ก็ถือว่าสำคัญมาก เพราะนั่นจะแสดงให้เห็นว่าการรักษาไม่เป็นไปตามแผนที่ได้กำหนดไว้ หากรากฟันเทียมเกิดการหลุดออกจากกระดูกที่ใช้รองรับรากฟันเทียม ก็จะถือว่า การรักษาเกิดการล้มเหลว ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ไขที่ยุ่งยากซับซ้อน

ทันตแพทย์จะทำการฝังรากฟันเทียมใหม่ให้ เพราะการที่รากฟันเทียมเกิดหลุดนั้น เป็นปัญหาที่ยากจะแก้ไข วิธีเดียวที่จะสามารถแก้ไขได้คือ การฝังรากฟันเทียมใหม่ ซึ่งก็จะทำให้เสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มโดยที่ไม่จำเป็น เพราะฉะนั้นผู้เข้ารับการรักษาสามารถลดหรือป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นภายหลังจากการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียมได้ โดยการดูแลเอาใจใส่ในเรื่องของความสะอาด พฤติกรรมการใช้งานช่องปาก หรือปฏิบัตตามคำแนะนำของทันตแพทย์ เพียงเท่านี้ ความเสี่ยงข้างต้นที่กล่าวมา ก็จะลดลงได้

2
จัดฟันบางนา: เตือนระวัง ! อาการข้างเคียงต่างๆ หลังการรักษารากฟัน

เชื่อว่าหลายๆคนคงเคยมีอาการผิดปกติต่าง ๆในช่องปาก และละเลยในการรักษา เพราะคิดว่าเดี๋ยวก็หายเองได้ตามธรรมชาติ ซึ่งรู้หรือไม่ว่านั่นคือสิ่งที่อันตรายมาก ๆ การปล่อยฟันที่เป็นโรคทิ้งไว้นาน ๆ อาจทำให้เชื้อโรคเกิดการแพร่กระจาย ไปทำลายกระดูกรอบ ๆฟันที่มีปัญหา ส่งผลให้มีอาการเจ็บปวด หรือ มีตุ่มหนอง และหากว่ายังปล่อยไว้จนกระทั่งกระดูกรองรับฟันถูกทำลาย อาจจะทำให้ฟันซี่นั้นต้องถูกถอนทิ้งไปนั่นเอง

แต่หากว่าไม่ต้องการที่จะถอนฟันซี่ดังกล่าวที่ติดเชื้อรุนแรงแล้วล่ะ ของแนะนำการรักษาคลองรากฟัน ก็คือการรักษาซ่อมแซมฟันที่เสียหาย หรือติดเชื้อรุนแรงโดยที่ไม่ต้องทำการถอนทิ้ง ซึ่งขึ้นตอนการรักษานั้นก็คือการขูดเนื้อฟันส่วนที่เสียหายออก แล้วจึงเริ่มทำความสะอาดรากฟันเพื่อให้เกิดการปลอดเชื้อ และจึงเริ่มทำการอุดคลองรากฟันและโพรงประสาท ก็จะรักษาฟันซี่ที่ติดเชื้อไว้ได้ในที่สุดนั่นเอง


เมื่อใดควรทำการรักษารากฟัน ?

     ฝันผุลึกมากจนกระทั่งทะลุถึงโพรงฟัน
    ฟันแตก หรือหักทะลุโพรงฟัน
     ฟันแตก หรือหักแต่ไม่ทะลุโพรงฟัน แต่เนื้อฟันส่วนที่เหลือนั้นยากจะทำการแก้ไขได้
     มีหนองเกิดขึ้นบริเวณปลายราก
     ฟันที่ได้รับอุบัติเหตุอย่างรุนแรง หรือโดนกระแทกจนเกิดการอักเสบ หรือเกิดการตายของเนื้อเยื่อในโพรงฟัน

โดยการรักษารากฟันนั้น สามารถทำให้เก็บรักษาฟันที่มีปัญหาไว้ใช้งานต่อไปได้ ซึ่งแน่นอนว่าดีกว่าการใส่ฟันปลอม เพราะ ฟันที่ได้รับการรักษารากฟันแล้ว ก็คือฟันแท้ปกติที่ไม่ต่างจากฟันซี่อื่นๆเลย มีเบ้ากระดูกฟันที่ยึดมั่นคงแข็งแรง และให้ความรู้สึกที่ดีกว่าการใส่ฟันปลอมแน่นอน


ข้อควรปฏิบัติหลังจากการรักษา ?

    ภายหลังจากการรักษารากฟันมาใหม่ๆ โดยเฉพาะคนที่ทำการรักษารากฟันเป็นครั้งแรก อาจจะมีอาการเจ็บมากใน 1-2 วันแรกหลังจากทำการรักษา แล้วจะค่อยๆหายไปเอง
    ควรระวังการใช้งานของฟันซี่ที่ได้ทำการรักษารากฟัน เนื่องจากปริมาณของเนื้อฟันจะเหลือน้อยลง และฟันจะมีความเปราะบางมากขึ้น เวลาเคี้ยวของแข็งจึงควรระวังเป็นพิเศษ แต่ไม่ควรที่จะเลี่ยงการเคี้ยวข้างที่ทำการรักษา เพราะเป็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง
    หลังจากที่ได้ทำการรักษา หากว่าที่อุดฟันหลุดออก คนไข้ควรรีบไปหาทันตแพทย์ที่ทำการรักษาให้เร็วที่สุด เนื่องจากว่าเชื้อโรคต่างๆในช่องปาก มีโอกาสเข้าไปที่โพรงประสารทได้
    การรักษารากฟัน ถือได้ว่าเป็นการรักษาต่อเนื่อง จึงควรอย่างยิ่งที่จะไปหาทันตแพทย์ตามที่นัดเสมอ ไม่ควรผลัดวัน เพราะหากว่าช้าเพียงไม่กี่วัด หรือผิดนัดแค่เพียงครั้งสองครั้ง ก็อาจจะทำให้ต้องถอนฟันซี่ที่กำลังทำการรักษาออกได้


อาการข้างเคียง “ปวด” หลังการรักษา !

หลังจากที่ได้ทำการรักษารากฟัน มักจะพบอาการปวดได้ 2 กรณี คือ การปวดในระหว่างการรักษา และ อาการปวดหลังการรักษาเสร็จสิ้นไปแล้ว ต้องบอกเลยว่าอาการปวดในระหว่างการรักษา ยิ่งระหว่างการรักษาครั้งแรก ยิ่งพบได้บ่อยในคนไข้เกือบทุกราย และอาจมีร่วมกับอาการบวมของเหงือกด้วย ซึ่งหากมีอาการต่างๆดังนี้ ทันตแพทย์มักจะเปิดโพรงที่กรอไว้ก่อนเพื่อให้เกิดการระบาย และจึงเริ่มใส่ยาพร้อมทั้งจะปิดโพรงในครั้งต่อไป ซึ่งจะทำให้การรักษานั้นยืดเยื้อไปอีก

อาการปวดหลังจากการรักษาเสร็จสิ้น ก็อาจจะพบได้ในคนไข้บางราย ซึ่งถ้าหากว่าไม่ได้ปวดมาก ทันตแพทย์จะทำการล้างทำความสะอาด ขยายรากฟัน หรือกำจัดเส้นประสาทให้หมด ซึ่งจะทำให้หายปวดได้ แต่หากว่ามีอาการบวมควบคู่ด้วย อาจจะต้องเปิดระบาย พร้อมทั้งให้ยาแก้อักเสบร่วมด้วย โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังจากทำการรักษาเสร็จ อาจเกิดมาจากคลองรากฟันยังไม่สะอาดแล้วทำการอุด ขยายคลองรากฟันไม่หมด หรือมีฟันแตก ซึ่งหากพบปัญหาเหล่านี้อาจจะต้องทำการรื้อแล้วรักษาใหม่ หรือถ้าโชคร้ายจริงๆ ไม่สามารถทำการรักษาได้ ก็จำเป็นจะต้องถอนฟันซี่นั้นออกในที่สุดนั่นเอง

3
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: ปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ (Cluster headache)

ปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ เป็นโรคปวดศีรษะข้างเดียวที่มีอาการปวดฉับพลันและรุนแรง เป็น ๆ หาย ๆ เป็นช่วง ๆ ทำให้ผู้ป่วยทุกข์ทรมาน แต่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนหรืออันตรายใด ๆ เป็นโรคที่พบได้ค่อนข้างน้อย (ในสหรัฐอเมริกาพบโรคนี้ประมาณ 1-4 คนในประชากร 1,000 คน) พบบ่อยในช่วงอายุ 20-50 ปี แต่ก็อาจเป็นตั้งแต่วัยรุ่นหรือตอนอายุ 50 ปีกว่าก็ได้

พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ในปัจจุบันพบว่าผู้หญิงได้เป็นโรคนี้มากขึ้น เนื่องจากผู้หญิงมีการสูบบุหรี่ และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จำนวนมากขึ้น ประกอบกับการวินิจฉัยมีความแม่นยำขึ้น จากเดิมที่ผู้หญิงปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ถูกวินิจฉัยผิดว่าเป็นไมเกรน

ปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่

    ปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ชนิดครั้งคราว (epidemic cluster headache) ซึ่งพบเป็นส่วนใหญ่ มีอาการปวดนาน 1 สัปดาห์ถึง 1 ปี (ส่วนใหญ่ 2-12 สัปดาห์) และมีการเว้นช่วงที่ปลอดจากอาการนานอย่างน้อย 3 เดือนขึ้นไปก่อนจะเป็นรอบใหม่
    ปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ชนิดเรื้อรัง (chronic cluster headache) ซึ่งพบเป็นส่วนน้อย (ราวร้อยละ 20) มีอาการปวดติดต่อกันนานมากกว่าหนึ่งปีขึ้นไป โดยไม่มีการเว้นช่วงที่ปลอดจากอาการ หรือเว้นช่วงนานน้อยกว่า 3 เดือนก่อนจะเป็นรอบใหม่   

ทั้งสองชนิดนี้สามารถแปรเปลี่ยนไปมากันได้ ชนิดครั้งคราวอาจกลายมาเป็นชนิดเรื้อรัง หรือชนิดเรื้อรังกลายมาเป็นชนิดครั้งคราว

สาเหตุ

อาการของโรคปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือด (หลอดเลือดขยายตัว) และเซลล์ประสาทของประสาทสมองเส้นที่ 5 และระบบประสาทอัตโนมัติที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะบนใบหน้า

ส่วนสาเหตุของการเกิดโรคนี้ยังไม่ทราบ เชื่อว่าลักษณะการเกิดอาการเป็นรอบเวลา และมักเป็นตอนกลางคืน อาจเกี่ยวกับการทำงานผิดปกติของสมองส่วนไฮโพทาลามัส ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมนาฬิกาชีวิต (biological clock) ภายในร่างกาย วงจรการนอนหลับ และอื่น ๆ (เช่น อุณหภูมิร่างกาย ความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ การหลั่งสารฮอร์โมน การทำงานของระบบประสาท เป็นต้น)

พบว่า บางรายมีประวัติว่ามีพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นโรคนี้ด้วย ซึ่งเกี่ยวกับการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์   

นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ที่มีประวัติสูบบุหรี่มีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าปกติ (ผู้ที่แพทย์วินิจฉัยเป็นโรคปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ มีประวัติสูบบุหรี่ถึงร้อยละ 85)

อาการปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์มักจะกำเริบจากการมีสาเหตุกระตุ้นที่สำคัญ ได้แก่ การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (แม้ปริมาณเพียงเล็กน้อย) การได้กลิ่นฉุน ๆ (เช่น กลิ่นสี กลิ่นทินเนอร์ กลิ่นน้ำมันเบนซิน กลิ่นน้ำหอม) การเจอความร้อน (เช่น อากาศร้อน การอยู่ในห้องที่ร้อนอบอ้าว การอาบน้ำร้อน) การออกกำลังกายมากเกิน หรือการทำงานจนร่างกายเหนื่อยล้า การใช้ยาไนโตรกลีเซอรีน (สำหรับการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ)

อาการ

มีอาการปวดศีรษะข้างหนึ่ง เกิดขึ้นฉับพลันและรุนแรง เริ่มด้วยอาการปวดแสบปวดร้อนที่ข้างจมูกหรือหลังเบ้าตา และจะปวดแรงขึ้นภายในไม่กี่นาที จนรู้สึกปวดรุนแรงจนสุดจะทนได้ตรงบริเวณรอบกระบอกตา หลังเบ้าตา และขมับ อาจปวดร้าวไปที่ใบหน้า หน้าผาก ท้ายทอย ลำคอ ไหล่ จมูก เหงือกหรือฟันข้างเดียวกัน 

ผู้ป่วยจะมีอาการรู้สึกคล้ายถูกแท่งน้ำแข็งเสียบผ่านเข้าไปในลูกตา หรือเทน้ำกรดผ่านรูหูเข้าไปในศีรษะ หรือคล้ายลูกตาถูกดันให้หลุดออกจากเบ้า

มักจะปวดตอนกลางคืนหลังเข้านอน 1-2 ชั่วโมง จนสะดุ้งตื่น นอนไม่หลับ ผู้ป่วยจะลุกขึ้นเดินพล่าน ในรายที่ปวดรุนแรงมาก อาจจะร้องครวญคราง นั่งโยกตัวไปมา คลานบนพื้น กุมศีรษะหรือใช้มือกดตรงบริเวณที่ปวด  หรือศีรษะโขกกำแพงหรือของแข็ง

บางรายอาจปวดตอนกลางวัน ซึ่งมักมีความรุนแรงน้อยกว่าตอนกลางคืน

อาการปวดมักจะเป็นทุกวัน ส่วนใหญ่จะเป็นวันละหลายครั้ง (บางรายอาจปวดวันละครั้งหรือสองวันครั้ง หรืออาจปวดถี่มากสุดถึงวันละ 8 ครั้ง) มักมีอาการปวดตรงเวลาทุกวัน แต่ละครั้งปวดนานประมาณ 15 นาทีถึง 3 ชั่วโมง (ส่วนใหญ่ปวดอยู่นาน 30-90 นาที) แล้วจะหายปวดอย่างปลิดทิ้ง (แต่อาจรู้สึกอ่อนเพลียตามมา) เว้นช่วงเป็นชั่วโมง ๆ หรือเกือบวันจึงจะเริ่มปวดครั้งใหม่

อาการแต่ละรอบจะเป็นทุกวัน (หรือวันเว้นวัน) ส่วนใหญ่จะเป็นอยู่นานต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ ๆ หรือเป็นเดือน ๆ แล้วหายเป็นปกติไปเอง มักมีช่วงที่ไม่มีอาการอย่างน้อย 2 สัปดาห์ขึ้นไป อาจนานเป็นแรมเดือนแรมปีจึงจะกำเริบรอบใหม่ ส่วนใหญ่จะเป็น 1-2 รอบต่อปี เป็นวงรอบแบบนี้เรื่อยไป ซึ่งมักมีอาการกำเริบตรงฤดูกาลหรือตรงเดือน (เช่น เดือนตุลาคม) ของทุกปี ในแต่ละรอบที่กำเริบผู้ป่วยจะปวดอยู่ข้างเดิมทุกครั้ง ส่วนในรอบใหม่อาจเปลี่ยนไปปวดอีกข้างก็ได้ แต่ก็พบได้เป็นส่วนน้อย

ขณะที่มีอาการปวดศีรษะ ผู้ป่วยมักจะมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างร่วมด้วย ได้แก่   

    ตาข้างเดียวกับที่ปวดมีอาการตาแดง น้ำตาไหล หนังตาบวม หนังตาตก หรือรูม่านตาหดเล็ก 
    รูจมูกข้างที่ปวดมีอาการคัดจมูกหรือน้ำมูกไหล
    ใบหน้าข้างที่ปวดออกซีดหรือแดงกว่าปกติ
    ใบหน้าและหน้าผากข้างที่ปวดมีเหงื่อออก

ส่วนน้อยอาจมีอาการคลื่นไส้ ไวต่อแสง (กลัวแสง)คล้ายไมเกรนร่วมด้วย


ภาวะแทรกซ้อน

โรคนี้ถึงแม้จะปวดรุนแรงและเรื้อรัง แต่ก็ไม่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่เป็นอันตรายต่อชีวิต หรือทำให้สมองพิการแต่อย่างใด นอกจากทำให้มีผลต่อจิตใจ (เช่น กังวล ซึมเศร้า คิดฆ่าตัวตาย) และคุณภาพชีวิต (เช่น เป็นอุปสรรคต่อการทำกิจวัตรประจำวัน การออกสังคม)


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

การตรวจร่างกาย อาจตรวจพบตาข้างที่ปวดมีอาการตาแดง น้ำตาไหล หนังตาบวม หนังตาตก หรือรูม่านตาหดเล็ก ใบหน้าหรือหน้าผากข้างที่ปวดมีเหงื่อออก รูจมูกข้างที่ปวดมีน้ำมูกไหล

อาจตรวจพบชีพจรเต้นช้า หน้าซีดหรือหน้าแดง เจ็บหนังศีรษะ

อาจพบว่าผู้ป่วยมีอาการกระสับกระส่าย เคลื่อนไหวไปมา ร้องครวญคราง ก้มศีรษะต่ำและใช้มือกดบริเวณที่ปวด

ในรายที่มีอาการปวดศีรษะรุนแรง สงสัยว่าอาจเกิดจากโรคทางสมอง เช่น เนื้องอกสมอง หลอดเลือดสมองโป่งพอง (aneurysm) เลือดออกในสมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ สมองอักเสบ เป็นต้น ก็จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ตรวจเลือด เจาะหลัง (ตรวจน้ำไขสันหลัง) เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ขณะที่มีอาการปวดกำเริบเฉียบพลัน ให้การรักษาเพื่อบรรเทาปวดด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ให้ออกซิเจนบริสุทธิ์ (100%) โดยการใช้หน้ากากครอบจมูกและปาก ด้วยอัตรา 6-8 ลิตร/นาที ทันทีที่เริ่มปวด จะช่วยให้ทุเลาได้ภายใน 15 นาที เป็นวิธีที่ได้ผลดีและปลอดภัย
    ฉีดซูมาทริปแทน (sumatriptan) 6 มก. เข้าใต้ผิวหนัง หรือฉีดไดไฮโดรเออร์โกตามีน (dihydroergotamine) 1-2 มก. เข้ากล้ามหรือหลอดเลือดดำ ยา 2 ชนิดนี้มีฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดแดงตีบตัว ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ หรือโรคหัวใจและหลอดเลือด และไม่ควรใช้ยา 2 ชนิดนี้ร่วมกัน 
    ใช้ซอลมิทริปแทนชนิดพ่นเข้าจมูก (zolmitriptan nasal spray)
    บางรายแพทย์อาจจะใช้ยาชาชนิดพ่นเข้าจมูก (lidocaine nasal spray)

ในการรักษาโรคนี้ แพทย์จะใช้ยาฉีดหรือยาพ่นจมูก ไม่ใช้ยาแก้ปวดชนิดกิน เนื่องจากโรคนี้มีอาการปวดรุนแรงและเฉียบพลัน การกินยาแก้ปวดใช้ไม่ได้ผลเพราะออกฤทธิ์ช้า

2. ในรายที่มีอาการปวดทุกวัน แพทย์จะให้ยากินป้องกันไม่ให้ปวดซ้ำซาก ยาที่นิยมใช้เป็นตัวแรก ได้แก่ เวราพามิล (verapamil ซึ่งเป็นกลุ่มยาต้านแคลเซียม ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูง) ข้อดีคือ ยานี้สามารถใช้ร่วมกับยาตัวอื่น และเหมาะกับการใช้กินป้องกันระยะยาวในผู้ที่มีอาการเรื้อรังนาน ๆ อาจมีผลข้างเคียง เช่น ท้องผูก เท้าบวม ความดันโลหิตต่ำ

สำหรับผู้ป่วยที่เพิ่งเป็น มีอาการปวดไม่บ่อยและมีช่วงปลอดจากอาการนาน แพทย์จะให้กินยาสเตียรอยด์ (เช่น ยาเม็ดเพร็ดนิโซโลน) ยานี้เหมาะสำหรับใช้ในช่วงสั้น ๆ เพราะหากใช้ติดต่อกันนาน ๆ อาจเกิดผลข้างเคียงมากมาย และอาจเป็นอันตรายได้ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ต้อกระจก ภูมิคุ้มกันต่ำ (ติดเชื้อง่ายและรุนแรง) บวม โรคคุชชิง เป็นต้น

ถ้าใช้ยาดังกล่าวข้างต้นไม่ได้ผล แพทย์อาจให้กินลิเทียมคาร์บอเนต (lithium carbonate) ซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาโรคอารมณ์สองขั้ว เหมาะสำหรับการกินป้องกันระยะยาวในผู้ที่มีอาการเรื้อรังนาน ๆ อาจมีผลข้างเคียง เช่น กระหายน้ำ ท้องเดิน มือสั่น ไตเสื่อม เป็นต้น

บางรายแพทย์อาจให้ยารักษาโรคลมชัก เช่น โทพิราเมต (topiramate), ไดวาลโพรเอต (divalproate) เป็นต้น

บางรายแพทย์อาจใช้เวราพามิลร่วมกับลิเทียม ซึ่งช่วยให้ได้ผลมากขึ้น

นอกจากนี้ แพทย์อาจใช้วิธีที่ไม่ใช้ยา เช่น การใช้อุปกรณ์ส่งกระแสไฟฟ้ากระตุ้นประสาทเวกัสผ่านทางผิวหนังที่บริเวณข้างคอ (vagus nerve stimulation/VNS), การฉีดยาชาระงับความรู้สึกที่ท้ายทอย (occipital nerve block ซึ่งมักใช้ร่วมกับการให้กินยาเวราพามิล)

3. ผู้ป่วยจำนวนน้อยที่แพทย์อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด มักเป็นผู้ป่วยที่มีอาการปวดเรื้อรังที่ใช้ยาหรือรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ ไม่ได้ผล หรือไม่สามารถใช้ยาได้ เนื่องจากมีผลข้างเคียงหรือข้อห้ามในการใช้ยา

การผ่าตัดมีอยู่หลายวิธี เช่น การใช้ความร้อนจากคลื่นวิทยุหรือรังสีแกมมาทำลายเส้นประสาทสมองเส้นที่ 5 (percutaneous radiofrequency ablation หรือ gamma knife radiosurgery), การผ่าตัดฝังขั้วไฟฟ้า (electrodes) กระตุ้นเส้นประสาทบริเวณท้ายทอย (occipital nerve stimulation) หรือปมประสาทสะฟีโนพาลาไทน์ (sphenopalatine ganglion stimulation), การผ่าตัดฝังขั้วไฟฟ้า (electrode) ไว้ในสมองส่วนไฮโพทาลามัส (deep brain stimulation) เป็นต้น

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดรุนแรงตรงบริเวณรอบและหลังเบ้าตา และใบหน้าซีกหนึ่ง หรือมีอาการปวดใบหน้าซีกหนึ่งร่วมกับมีอาการตาแดง น้ำตาไหล คัดจมูก น้ำมูกไหล หนังตาบวม หรือหนังตาตก โดยเป็นข้างเดียวกับใบหน้าที่ปวด หรือปวดตาและใบหน้าซีกเดียว ครั้งละประมาณ 15 นาทีถึง 3 ชั่วโมง ทุกวัน ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ ควรปฏิบัติ ดังนี้

    ใช้ยาและปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์
    หลีกเลี่ยงสาเหตุกระตุ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรหยุดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีอาการข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    หลังใช้ยาแล้วอาการไม่ทุเลา หรือกำเริบใหม่
    มีไข้ อาเจียน คอแข็ง (ก้มคอไม่ลง) แขนขาชาหรืออ่อนแรง พูดลำบาก ซึม ชัก
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ)
    ยาหาย หรือขาดยา
    มีความวิตกกังวล

การป้องกัน

โรคนี้ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล แต่สำหรับผู้ที่เป็นโรคนี้สามารถป้องกันไม่ให้กำเริบบ่อยได้ ดังนี้

1. หลีกเลี่ยงสาเหตุกระตุ้นที่สำคัญ ได้แก่

    การสูบบุหรี่ 
    การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 
    การได้กลิ่นฉุน ๆ เช่น กลิ่นสี กลิ่นทินเนอร์ กลิ่นน้ำมันเบนซิน กลิ่นน้ำหอม
    การเจอความร้อน เช่น อากาศร้อน การอยู่ในห้องที่ร้อนอบอ้าว การอาบน้ำร้อน
    การกำลังกายมากเกิน หรือการทำงานจนเหนื่อยล้า

2. การใช้ยาป้องกันตามที่แพทย์แนะนำ เช่น เวราพามิล (verapamil), เพร็ดนิโซโลน, ลิเทียมคาร์บอเนต เป็นต้น

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้มีอาการปวดศีรษะข้างเดียวคล้ายไมเกรน ต่างกันที่โรคนี้พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ปวดรุนแรงกว่าแต่ระยะเวลาสั้นกว่าไมเกรน (ปวดนาน 15 นาทีถึง 3 ชั่วโมง) และปวดแบบเว้นระยะเป็นช่วง ๆ แต่เป็นทุกวัน หรือวันเว้นวัน นานเป็นสัปดาห์ถึงเป็นแรมปี (ไมเกรนพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย จะปวดติดต่อกันนานครั้งละ 4-72 ชั่วโมง แล้วเว้นไปนานกว่าจะกำเริบใหม่) โรคนี้มักจะไม่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน กลัวแสง และกลัวเสียง (ซึ่งตรงข้ามกับไมเกรน) แต่จะมีอาการตาแดง น้ำตาไหล หนังตาบวม หนังตาตก รูม่านตาหดเล็ก หรือน้ำมูกไหลร่วมด้วย  (ซึ่งไม่พบในไมเกรน) โรคนี้เวลาปวด ผู้ป่วยจะอยู่ไม่นิ่ง จะเดินไปมา หรือโยกตัว (ผู้ป่วยไมเกรนจะหยุดเคลื่อนไหว นั่งหรือนอนพักในห้องมืด ๆ เงียบ ๆ)

2. ผู้ที่มีอาการปวดศีรษะรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีอาการปวดต่อเนื่อง ไม่เว้นระยะ หรือปวดนานเป็นวัน ๆ ควรคิดว่าอาจเป็นโรคร้ายแรงทางสมอง (เช่น เนื้องอกสมอง หรือเลือดออกในสมอง สมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น) ดังนั้น ถ้ามีอาการปวดศีรษะรุนแรงร่วมกับมีประวัติศีรษะได้รับบาดเจ็บ หรือมีอาการไข้ อาเจียน คอแข็ง (ก้มคอไม่ลง) แขนขาชาหรืออ่อนแรง พูดลำบาก ซึม หรือชัก ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว

3. โรคนี้แม้จะมีอาการปวดศีรษะรุนแรง และเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง (บางคนอาจเป็นไปจนตลอดชีวิต บางคนเมื่ออายุมากขึ้นก็จะปวดห่างขึ้น และมีช่วงปลอดอาการนานขึ้น) แต่ไม่มีอันตรายร้ายแรง และไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด การรักษาเพียงให้ยาบรรเทาอาการปวด (ขณะมีอาการปวดรุนแรงเฉียบพลัน มักจะต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อใช้ยาฉีดบรรเทาอาการ ยาแก้ปวดชนิดกินจะใช้ไม่ได้ผล) และให้ยากินป้องกันไม่ให้กำเริบบ่อย ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองไม่ให้กำเริบบ่อยด้วยการหลีกเลี่ยงสาเหตุกระตุ้น

4
ขายสินค้าฟรี รองรับ SEO / หมอประจำบ้าน: ตาแห้ง (Dry eye)
« เมื่อ: วันที่ 18 สิงหาคม 2025, 15:41:48 น. »
หมอประจำบ้าน: ตาแห้ง (Dry eye)

สาเหตุ

น้ำตาซึ่งทำหน้าที่หล่อลื่นผิวตาและป้องกันการติดเชื้อที่ผิวตา ประกอบไปด้วย (1) ไขมัน ซึ่งอยู่ชั้นบน ผลิตโดยต่อมไขมัน (meibomian gland) ที่เปลือกตา (2) น้ำ ซึ่งอยู่ชั้นกลาง ผลิตโดยต่อมน้ำตา (lacrimal gland) และ (3) เมือก ซึ่งอยู่ชั้นล่าง ผลิตโดยเยื่อตาขาวและกระจกตา หากส่วนประกอบในน้ำตามีปัญหา อาจทำให้เกิดอาการตาแห้งได้ สาเหตุหลัก ๆ ของภาวะน้ำตาแห้ง ได้แก่

1. ต่อมน้ำตาผลิตน้ำตาได้น้อยลง จากสาเหตุต่าง ๆ อาทิ

    อายุ ยิ่งมีอายุมากขึ้น ยิ่งมีการผลิตน้ำตาน้อยลง ภาวะนี้จึงพบมากในคนอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป
    เพศ พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ผู้หญิงที่กินยาคุมกำเนิด ตั้งครรภ์ วัยหมดประจำเดือน
    การใช้ยาบางชนิดที่ทำให้น้ำตาลดลง เช่น ยาแก้แพ้ ยาแก้คัดจมูกหรือยาหดหลอดเลือด (decongestant) ยาขับปัสสาวะ ยาลดความดันโลหิตบางชนิด ยากล่อมประสาท ยาต้านซึมเศร้า ยาเม็ดคุมกำเนิด ยารักษาสิว เป็นต้น
    โรคบางชนิด เช่น กลุ่มอาการโจเกรน (Sjogren’s syndrome)* ข้ออักเสบรูมาตอยด์ เอสแอลอี เบาหวาน ภาวะพิษจากไทรอยด์ (Graves’ disease) เยื่อตาขาวอักเสบจากการแพ้ ภาวะขาดวิตามินเอ ภาวะขาดโอเมกา-3
    กระจกตาได้รับการกระทบกระเทือน เช่น การผ่าตัดตาโดยวิธีเลสิก (Lasik) การใส่เลนส์สัมผัส (contact lens) มาเป็นระยะนาน ทำให้การรับรู้ความรู้สึกปวดลดลง ส่งผลให้ผลิตน้ำตาลดลง

2. น้ำตามีการระเหยมากกว่าปกติ จากสาเหตุต่าง ๆ อาทิ   

    การสัมผัสถูกอากาศร้อน อากาศแห้ง ลมแรง ลมจากเครื่องปรับอากาศ ควันบุหรี่ เขม่าควัน
    ภาวะกะพริบตาน้อยครั้งกว่าปกติ เช่น การเพ่งมองอะไรนาน ๆ (เช่น การขับรถ การอ่านหนังสือ หรือการจ้องมองจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน) ผู้ที่เป็นโรคพาร์กินสัน (ซึ่งมีการกะพริบตาน้อยครั้งกว่าคนปกติ)
    เปลือกตาผิดปกติ เช่น ภาวะเปลือกตาม้วนออก (ectropion) ภาวะเปลือกตาม้วนเข้า (entropion)
    ต่อมไขมันที่เปลือกตาผิดปกติ (meibomian gland dysfunction) เช่น ต่อมไขมันที่เปลือกตาอุดตัน ต่อมไขมันที่เปลือกตาอักเสบ (ซึ่งพบในโรคเปลือกตาส่วนหลังอักเสบ หรือ posterior blepharitis) ทำให้ผลิตไขมัน (ซึ่งมาเคลือบส่วนผิวบนของน้ำตา) น้อยลง ทำให้น้ำตาระเหยมากกว่าปกติ
    สารกันเสียในยาหยอดตา
    ภาวะขาดวิตามินเอ

*กลุ่มอาการโจเกรน เป็นโรคภูมิต้านตนเอง (ออโตอิมมูน) ชนิดหนึ่ง ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด พบบ่อยในคนอายุมากกว่า 40 ปี พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และอาจพบร่วมกับโรคภูมิต้านตนเองอื่น ๆ (เช่น ข้ออักเสบรูมาตอยด์ เอสแอลอี) พบว่าร่างกายมีการสร้างภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติไป ทำให้เกิดการอักเสบของต่อมน้ำตาและต่อมน้ำลายอย่างเรื้อรัง ส่งผลให้มีน้ำตาและน้ำลายหลั่งน้อยลง ผู้ป่วยจะมีอาการตาแห้ง (รู้สึกแสบ คัน หรือระคายเคืองในดวงตา) และปากแห้ง (รู้สึกคล้ายมีสำลีอยู่ในปาก อาจทำให้มีปัญหาในการพูดหรือกลืนอาหาร) เป็นหลัก
นอกจากนี้อาจมีผลกระทบต่ออวัยวะอื่น ๆ ทำให้มีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ช่องคลอดแห้ง ผิวหนังแห้งหรือมีผื่นขึ้น ต่อมน้ำลายบวม (โดยเฉพาะบริเวณด้านหน้าใบหูและหลังขากรรไกร) ข้ออักเสบ (ข้อบวม) ไอเรื้อรัง อ่อนเพลียหรือเหนื่อยล้าอย่างเรื้อรัง เป็นต้น อาจมีภาวะแทรกซ้อน ที่พบบ่อย ได้แก่ ฟันผุ โรคเชื้อราในช่องปาก มีอาการผิดปกติทางตา (ไวต่อแสง ตาพร่ามัว กระจกตาเสียหาย) ที่พบได้น้อย เช่น หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ ตับอักเสบ ตับแข็ง ไตเสื่อม ปลายประสาทอักเสบ (ชาปลายมือปลายเท้า) หลอดเลือดอักเสบ ภาวะขาดไทรอยด์ บางรายอาจเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นต้น
แพทย์จะวินิจฉัยโรคนี้โดยทำการตรวจพิเศษ เช่น ตรวจเลือด ปัสสาวะ ตรวจการทำหน้าที่ผลิตน้ำตาของตาและการผลิตน้ำลายของต่อมน้ำลาย การนำชิ้นเนื้อต่อมน้ำลายไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ (biopsy) เป็นต้น
การรักษา ส่วนใหญ่แพทย์จะให้การรักษาเพื่อบรรเทาตามอาการ เช่น บรรเทาอาการตาแห้งด้วยน้ำตาเทียม หรือยาหยอดตาที่มีตัวยาต้านอักเสบเพื่อเพิ่มการผลิตน้ำตา ในรายที่มีอาการตาแห้งมาก แพทย์อาจใช้วิธีการอุดท่อน้ำตา (punctal occlusion) โดยใช้อุปกรณ์ที่ทำจากซิลิโคน (silicone plug) เพื่อลดการระบายน้ำตาออกจากดวงตา ซึ่งช่วยให้มีน้ำตาหล่อเลี้ยงดวงตามากขึ้น, สำหรับอาการปากแห้ง ให้จิบน้ำบ่อย ๆ หากไม่ได้ผล แพทย์จะให้ยาเพิ่มการผลิตน้ำลาย (เช่น ยาเม็ด pilocarpine), ใช้โลชั่นทาผิวบรรเทาอาการผิวแห้ง, ใช้เจลปิโตรเลียมหรือลิปมันบรรเทาอาการริมฝีปากแห้ง, ให้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์สำหรับอาการข้ออักเสบ, ให้ยาต้านเชื้อราในรายที่มีโรคเชื้อราในช่องปาก เป็นต้น
ในรายที่มีอาการมาก แพทย์จะให้ยาต้านอักเสบ ได้แก่ ไฮดรอกซีคลอโรควีน (hydroxychloroquine) บางรายอาจให้ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น เมโทเทรกเซต (methotrexate) เป็นต้น

อาการ

มีอาการแสบตา เคืองตา หรือรู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในตา ไม่สู้แสง (กลัวแสง) น้ำตาไหลบ่อย ตาพร่ามัว (แต่เมื่อกะพริบตา มองเห็นชัดขึ้น) บางรายอาจมีอาการตาล้า ปวดตา หรือปวดศีรษะร่วมด้วย


ภาวะแทรกซ้อน

หากปล่อยไว้ อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น

    การติดเชื้อที่ตา (เนื่องจากขาดน้ำตาที่ป้องกันไม่ให้ตาติดเชื้อ) เช่น เยื่อตาขาวอักเสบ กระจกตาอักเสบ
    ภาวะตาแห้งที่รุนแรงอาจทำให้เกิดแผลกระจกตา และสูญเสียการมองเห็น
    มีปัญหาในการทำกิจกรรมที่ต้องใช้สายตา เช่น การอ่านหนังสือ การทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ การขับรถ เป็นต้น


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจตาเป็นหลัก ซึ่งจะตรวจพบน้ำตาไหล ตาแดง ขี้ตาเป็นเมือกเหนียว

บางรายจักษุแพทย์อาจทำการตรวจวัดปริมาณน้ำตา ส่วนประกอบ ความเข้มข้น และ/หรือคุณภาพของน้ำตาด้วยวิธีการต่าง ๆ

ในรายที่สงสัยว่ามีโรคอื่นที่เป็นสาเหตุของอาการตาแห้ง แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ ตรวจชิ้นเนื้อ (biopsy) เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

นอกจากแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยแล้ว แพทย์จะให้การรักษา ดังนี้

1. ในรายที่มีอาการเล็กน้อย หรือชั่วครั้งชั่วคราว แพทย์จะให้น้ำตาเทียมหยอดตา เพื่อบรรเทาอาการตาแห้ง แสบตา เคืองตา น้ำตาเทียมมีทั้งชนิดน้ำและชนิดเจล ซึ่งแพทย์จะเลือกใช้ตามความเหมาะสมของผู้ป่วย

2. ในรายที่มีอาการมาก หรือเรื้อรัง หรือใช้น้ำตาเทียมไม่ได้ผล แพทย์จะให้การรักษาด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งหรือใช้ร่วมกัน ดังนี้

    ให้ยากระตุ้นการสร้างน้ำตา เช่น ยาหยอดตาที่มีตัวยา diquafosol
    ในรายที่มีโรคเปลือกตาอักเสบ (ซึ่งทำให้เกิดการอุดกั้นไม่ให้ไขมันที่ผลิตจากต่อมไขมันที่เปลือกตาไม่ให้ไหลไปเคลือบส่วนผิวบนน้ำตา) แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ (ซึ่งมีชนิดทั้งยาหยอดตา ขี้ผึ้งป้ายตา หรือยารับประทานให้เลือกใช้) เพื่อช่วยลดอาการอักเสบ
    ในรายที่มีกระจกตาอักเสบ แพทย์จะให้ยาหยอดตาที่ตัวยาลดการอักเสบ เช่น ไซโคลสปอรีน (cyclosporine) หรือสเตียรอยด์ (สำหรับยาหยอดตาสเตียรอยด์ แพทย์จะใช้เพียงช่วงเวลาสั้น  ๆ เพราะการใช้เป็นเวลานานอาจเกิดผลข้างเคียงได้)
    สำหรับรายที่เป็นรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาอื่น ๆ แพทย์จะรักษาด้วยน้ำตาเซรั่ม (autologous blood serum drops) ซึ่งสกัดจากเลือดของผู้ป่วยเอง
    การรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น การใช้เลนส์สัมผัส (contact lens) ชนิดพิเศษ ที่เรียกว่า scleral lenses หรือ bandage lenses ซึ่งช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นและปกป้องพื้นผิวของดวงตา, การอุดท่อน้ำตาแบบชั่วคราวด้วยอุปกรณ์ที่ทำจากซิลิโคน (silicone plug) หรือการอุดท่อน้ำตาแบบถาวรด้วยการจี้ด้วยความร้อน (thermal cautery) เพื่อไม่ให้น้ำตาระบายออกเร็ว, การประคบเปลือกตาด้วยน้ำอุ่นและการทำความสะอาดเปลือกตาเพื่อลดการอุดตันของต่อมไขมันที่เปลือกตา, การรักษาด้วยแสงความยาวคลื่นเฉพาะ (intense pulsed light treatment)     

3. ในรายที่ตรวจพบสาเหตุของภาวะตาแห้ง ก็จะให้การรักษาตามสาเหตุ เช่น ถ้าเกิดจากการใช้ยา ก็จะปรับเปลี่ยนยาให้เหมาะสม, ให้ยารักษาโรค (เช่น เยื่อตาขาวอักเสบจากการแพ้ โรคโจเกรน ข้ออักเสบรูมาตอยด์ เอสแอลอี เบาหวาน ภาวะพิษจากไทรอยด์), ทำการผ่าตัดแก้ไขภาวะเปลือกตาม้วนออก (ectropion) หรือภาวะเปลือกตาม้วนเข้า (entropion) เป็นต้น

ผลการรักษา ส่วนใหญ่ช่วยให้อาการทุเลาได้ดี แต่ต้องให้ยาบรรเทาอาการอย่างต่อเนื่อง

ในรายที่ตรวจพบโรคที่เป็นสาเหตุของตาแห้งก็จะสามารถควบคุมโรคและช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี


การดูแลตนเอง

หากแพทย์เคยตรวจพบ หรือมีอาการที่สงสัยเป็นภาวะตาแห้งเล็กน้อย (เช่น มีอาการแสบตา เคืองตา หรือตาพร่ามัวเป็นครั้งคราวหลังใช้สายตาสักพัก เมื่อกะพริบตา มองเห็นชัดขึ้น) ควรดูแลตัวเอง ดังนี้

    ใช้น้ำตาเทียมหยอดตา วันละ 3-4 ครั้ง
    ดื่มน้ำมาก ๆ
    ขณะอ่านหนังสือหรือทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ ให้หยุดพักสายตาและกะพริบตาบ่อย ๆ ถ้ามีอาการตาล้าร่วมด้วย ให้พักสายตาเป็นระยะ โดยพักสายตาทุก 20 นาที พัก (หรือหลับตา) นาน 20 วินาที
    หลีกเลี่ยงควันบุหรี่ อากาศแห้ง อากาศร้อน ลมแรง
    เมื่อออกไปข้างนอก ให้สวมแว่นกันแดดเพื่อกันแสงแดดและกันลม
    ทำความสะอาดเปลือกตา และประคบเปลือกตาด้วยน้ำอุ่นตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อช่วยลดการอักเสบของเปลือกตา และลดการอุดตันของต่อมไขมันที่เปลือกตา (meibomian gland)
    ใช้เครื่องทำความชื้น ในห้องที่เปิดเครื่องปรับอากาศที่มีสภาพอากาศแห้งเพื่อลดอาการตาแห้ง

ควรไปพบแพทย์ ถ้าดูแลตนเองดังกล่าวข้างต้น 1-2 สัปดาห์แล้วไม่ดีขึ้น หรือมีอาการปวดตา ตาล้ามาก ตาพร่ามัวมาก ตาแดงจัด หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย หรือสงสัยว่าอาการตาแห้งอาจเกิดจากโรคบางชนิด เช่น กลุ่มอาการโจเกรน (มีอาการปากแห้งร่วมด้วย) เบาหวาน (มีอาการกระหายน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย) ข้ออักเสบรูมาตอยด์ (มีอาการปวดตามข้อนิ้วมือนิ้วเท้า)  เป็นต้น


การป้องกัน

    งดสูบบุหรี่  และหลีกเลี่ยงควันบุหรี่ อากาศแห้ง อากาศร้อน ลมแรง
    เมื่อออกไปข้างนอก ให้สวมแว่นกันแดดเพื่อกันแสงแดดและกันลม
    ถอดเลนส์สัมผัส (คอนแทกต์เลนส์) เมื่อไม่ใช้งาน
    เมื่อใช้สายตาอ่านหนังสือ หรือใช้คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ ให้กะพริบตาบ่อย ๆ และหมั่นพักสายตาและหลับตานาน 2-3 นาที เป็นครั้งคราว
    กินอาหารที่มีวิตามินเอและโอเมกา-3 สูง (วิตามินเอมีมากในตับ ไข่ นม มะเขือเทศ บรอกโคลี แครอต, โอเมกา-3 มีมากในปลา)

ข้อแนะนำ

1. อาการตาแห้ง แม้ว่าส่วนใหญ่มีอาการเพียงเล็กน้อย ซึ่งสามารถดูแลตนเองได้ด้วยการใช้น้ำตาเทียมเป็นประจำ แต่หากเป็นรุนแรงหรือปล่อยปละละเลย ก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน จนสูญเสียการมองเห็นได้


2. ผู้ที่มีอาการตาแห้งเรื้อรังหรือดูแลตนเองแล้วไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาโรคที่เป็นสาเหตุ และให้การรักษาที่เหมาะสม


5
รู้จัก "ตับอักเสบ" สัญญาณโรคตับที่ไม่ได้เกิดจากไวรัสเพียงอย่างเดียว

"ตับอักเสบ" เป็นภาวะที่ตับเกิดการอักเสบและบวม ซึ่งไม่ได้มีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสเพียงอย่างเดียว แต่อาจเกิดจากปัจจัยอื่นๆ ที่คุณอาจคาดไม่ถึง และหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่ภาวะตับแข็งหรือมะเร็งตับได้


สาเหตุของตับอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากไวรัส

ตับอักเสบจากไขมัน (NASH): เกิดจากการสะสมของไขมันในตับมากเกินไป ซึ่งมักพบในผู้ที่มีน้ำหนักเกิน, ผู้ป่วยโรคเบาหวาน, และผู้ที่มีภาวะเมตาบอลิกผิดปกติ หากปล่อยไว้อาจนำไปสู่ภาวะตับแข็งได้

ตับอักเสบจากแอลกอฮอล์: เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเป็นเวลานาน ทำให้เซลล์ตับถูกทำลายและเกิดการอักเสบขึ้น

ตับอักเสบจากยาหรือสารเคมี: การใช้ยาบางชนิดในปริมาณมากหรือเป็นเวลานาน เช่น ยาแก้ปวดพาราเซตามอล ยาปฏิชีวนะ หรือการสัมผัสกับสารเคมีบางอย่าง อาจส่งผลให้เกิดตับอักเสบได้

ตับอักเสบจากระบบภูมิคุ้มกัน (Autoimmune Hepatitis): เป็นภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติ และหันมาทำลายเซลล์ตับของตัวเอง

ภาวะทางพันธุกรรม: เช่น โรควิลสัน (Wilson's Disease) ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้ร่างกายสะสมทองแดงมากเกินไปในตับ


อาการที่ควรรู้และไม่ควรละเลย

อาการของตับอักเสบในระยะแรกอาจไม่ชัดเจน แต่หากเริ่มมีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย

อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย: รู้สึกไม่มีแรง แม้จะพักผ่อนเพียงพอ

เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน: รู้สึกไม่อยากอาหาร หรือมีอาการคล้ายอาหารไม่ย่อย

ปวดท้อง: มีอาการปวดบริเวณชายโครงด้านขวา ซึ่งเป็นตำแหน่งของตับ

ตัวเหลือง ตาเหลือง (ดีซ่าน): เป็นอาการที่แสดงให้เห็นว่าตับเริ่มทำงานผิดปกติ

การทำความเข้าใจสาเหตุและอาการของตับอักเสบจะช่วยให้คุณสามารถดูแลสุขภาพตับได้อย่างถูกต้อง และป้องกันการเกิดโรคตับที่ร้ายแรงได้ในอนาคต

6
ตรวจอาการ: ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา (Candidal vaginitis)

ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา (Candidal vaginitis) เป็นภาวะที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้หญิงที่กินยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อ กินยาคุมกำเนิด ใส่ห่วงคุมกำเนิด และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น เบาหวาน เอดส์)

สาเหตุ

เกิดจากเชื้อราที่ชื่อว่า แคนดิดาอัลบิแคนส์ (Candida albicans) ซึ่งเป็นเชื้อราชนิดเดียวกับที่ทำให้ลิ้นเป็นฝ้าขาว ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยจะมีเชื้อราชนิดนี้อยู่ในช่องคลอด แต่จะไม่แสดงอาการอักเสบแต่อย่างใด

เนื่องจากแบคทีเรียประจำถิ่นในช่องคลอดคอยสร้างกรดช่วยควบคุมไม่ให้เชื้อราเจริญแพร่พันธุ์ แต่ถ้าหากมีภาวะบางอย่างที่ทำให้แบคทีเรียเหล่านี้ถูกทำลาย เช่น การกินยาปฏิชีวนะ (เช่น เตตราไซคลีน อะม็อกซีซิลลิน เป็นต้น) นาน ๆ หรือการสวนล้างช่องคลอด เป็นต้น จะทำให้เชื้อราเจริญได้ นอกจากนี้การกินยาคุมกำเนิด การใส่ห่วงคุมกำเนิด หรือการตั้งครรภ์ ก็อาจเปลี่ยนแปลงสภาพภายในช่องคลอด ทำให้เชื้อราเจริญได้เช่นกัน

อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการคันในช่องคลอด หรือรอบ ๆ ปากช่องคลอดอย่างมาก และมีตกขาวลักษณะข้นขาวคล้ายแป้งเปียกหรือคราบนม อาจมีอาการปวดเฉียบขณะร่วมเพศ (dyspareunia) หรือมีอาการปัสสาวะบ่อยและปวดแสบปวดร้อนร่วมด้วย บางรายอาจมีผื่นแดงรอบ ๆ ปากช่องคลอดหรือบริเวณขาหนีบ


ภาวะแทรกซ้อน

โรคนี้ไม่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง แต่ทำให้มีอาการคันในช่องคลอดรุนแรง จนบางครั้งทำให้เสียบุคลิกภาพ

นอกจากนี้ เมื่อรักษาหายแล้วอาจเกิดอาการกำเริบได้บ่อย


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยขั้นต้นจากอาการ จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจภายในช่องคลอด และนำตกขาวไปตรวจส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์ จะพบเชื้อราที่เป็นสาเหตุ


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้ยาเหน็บช่องคลอดซึ่งเข้ายาฆ่าเชื้อรา เช่น ยาเหน็บช่องคลอดนิสแตติน (nystatin) ยาเหน็บช่องคลอดโคลไตรมาโซล (clotrimazole) หรือให้กินยาต้านเชื้อรา เช่น ฟลูโคนาโซล

ถ้าจะหลับนอนกับสามี ควรให้สามีสวมถุงยางอนามัย เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

ในรายที่กำเริบบ่อย แพทย์อาจทำการตรวจเลือดดูว่าผู้ป่วยเป็นเบาหวานหรือโรคเอดส์แฝงอยู่หรือไม่


การดูแลตนเอง

ถ้าหากสงสัย เช่น มีอาการคันในช่องคลอด หรือรอบ ๆ ปากช่องคลอดอย่างมาก และมีตกขาวลักษณะข้นขาวคล้ายแป้งเปียกหรือคราบนม ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    ถ้าจะหลับนอนกับสามี ควรให้สามีสวมถุงยางอนามัย เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา
    มีอาการกำเริบซ้ำ
    ในรายที่แพทย์ให้ยารักษา หากใช้ยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

การป้องกันช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา ให้หลีกเลี่ยงการสวมใส่กางเกงในที่ทำจากไนลอน หรือใยสังเคราะห์ เพราะทำให้อับชื้น ซึ่งเชื้อราอาจเจริญง่าย อย่าสวนล้างช่องคลอดโดยไม่จำเป็น และอย่ากินยาปฏิชีวนะ (หรือยาชุดที่เข้ายาปฏิชีวนะ) โดยไม่จำเป็น


ข้อแนะนำ

1. ผู้หญิงที่กินยาเม็ดคุมกำเนิด ถ้ามีอาการของโรคนี้เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง ควรเลิกกินยาคุมกำเนิด และหันไปคุมกำเนิดโดยวิธีอื่นแทน

2. อาการช่องคลอดอักเสบ (ตกขาวและคัน) อาจเป็นอาการแทรกซ้อนของผู้ที่เป็นเบาหวานหรือเอดส์ก็ได้ หากมีอาการช่องคลอดอักเสบบ่อยหรือสงสัยควรตรวจน้ำตาลในเลือดและเชื้อเอชไอวี

7
แก้ไขฟันห่าง ด้วยการจัดฟันเด็ก

ปัญหาฟันห่างหรือมีช่องว่างระหว่างฟันนั้น เกิดขึ้นได้กับฟันทุกบริเวณ แต่จุดที่สังเกตุเห็นได้อย่างชัดเจนและสร้างความไม่มั่นใจให้ใครหลายคน คือ บริเวณฟันหน้า ซึ่งสาเหตุของฟันห่างมีทั้งปัจจัยที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมีการรักษาทางการแพทย์มากมายที่ช่วยปิดช่องฟันห่างหรือลดช่องว่างระหว่างฟันได้อย่างเห็นผล เช่นเดียวกับเด็กที่มีฟันผุที่รุนแรงจนถึงขั้นสูญเสียฟัน บางครั้งก็อาจจะทำให้เกิดฟันห่างได้ ยิ่งถ้าบริเวณนั้น มีภาวะฟันแท้หายด้วยแล้ว ก็จะทำให้เด็กรู้สึกไม่มั่นใจได้

ดังนั้น การเข้ารับการจัดฟันในเด็ก จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ใช้แก้ไขปัญหาฟันห่าง ต้องบอกก่อนว่า สาเหตุของการเกิดฟันห่างนั้น เกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น ความผิดปกติของเนื้อเยื่อที่ยึดเกาะใต้ลิ้นกับพื้นด้านล่างของช่องปาก หรือเนื้อเยื่อใต้ริมฝีปากบนกับเหงือก เนื้อเยื่อเหล่านี้มีลักษณะเป็นเส้นและมีบทบาทในการพัฒนาโครงสร้างช่องปากตั้งแต่ยังเป็นตัวอ่อนทารกในครรภ์มารดา บางคนมีเนื้อเยื่อนี้ยึดติดมากกว่าปกติ ซึ่งอาจส่งผลให้มีฟันหน้าห่างออกจากกันได้ รวมไปถึงขนาดฟันเล็กกว่าขากรรไกร


หากมีฟันขนาดเล็กกว่าขากรรไกรหรือมีขากรรไกรที่ใหญ่เกินไป อาจส่งผลให้ฟันเรียงตัวห่างจากกันเพื่อเติมเต็มพื้นที่ขากรรไกร ซึ่งขนาดของฟันและขากรรไกรมีปัจจัยทางพันธุกรรมเป็นตัวกำหนด หากพ่อแม่ฟันห่างก็มีโอกาสที่บุตรหลานจะมีฟันห่างไปด้วย ดังนั้นวันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงเรื่องของการเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ที่จะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาฟันห่างในเด็กได้ สำหรับอาการฟันห่างนั้น เกิดขึ้นได้ทุกวัย ยิ่งถ้าหากมีปัญหาในเรื่องของฟันผุ การสูญเสียฟัน ก็อาจจะทำให้เกิดฟันห่างฟันล้มได้ ดังนั้น การรักษาความสะอาดของช่องปากและฟันจึงมีความสำคัญมาก


สำหรับอาการฟันห่างในเด็กนั้น เกิดจากการที่เด็กติดนิสัยดูดนิ้ว อาจมีฟันหน้าห่างเนื่องจากแรงดันจากการดูดนิ้ว อย่างไรก็ตาม เด็กหลายคนอาจมีฟันหน้าห่างและมีเนื้อเยื่อยึดระหว่างลิ้นกับพื้นช่องปากมากเกินไปในระยะที่ฟันเริ่มงอกขึ้นมา แต่ช่องว่างดังกล่าวจะหายไปเพราะเนื้อเยื่อนี้จะค่อย ๆ สั้นลงเมื่อเวลาผ่านไป ส่วนฟันหน้าที่ห่างในวัยผู้ใหญ่นั้น ก็อาจหายไปโดยธรรมชาติได้เช่นกันหากมีฟันกรามขึ้นมาดันให้ฟันเข้ามาติดชิดกันในภายหลัง แต่ถ้าหากไม่หาย พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนก็เกิดความกังวลใจกลัวลูกจะเสียบุคลิกภาพและอาจจะโดนล้อได้ ดังนั้น การพาบุตรหลานเข้ารับการจัดฟันในเด็ก จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะสามารถแก้ไขปัญหาฟันห่าง ฟันซ้อนเก ได้อย่างมีประสิทธิภาพเลยทีเดียว เพราะการจัดฟัน มักใช้การจัดฟันแบบติดแน่น หรือสวมใส่เหล็กจัดฟัน เพื่อดึงฟันให้ค่อยๆ เรียงตัวชิดกันอย่างมีระเบียบ


นอกจากนี้ การจัดฟันแบบใสหรือจัดฟันแบบถอดได้ก็อาจได้ผลเช่นเดียวกันในบางกรณี สำหรับการเกิดฟันห่างในเด็กนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องคอยสังเกตพฤติกรรมและดูแลไม่ให้เด็กติดนิสัยดูดนิ้ว พยายามปรับการกลืนให้ลิ้นแตะเพดานปากแทนที่จะไปดันฟัน หมั่นให้เด็กดูแลรักษาความสะอาดปากและฟันเพื่อป้องกันโรคเหงือกโดยใช้แปรงสีฟันหรือไหมขัดฟันเป็นประจำ รวมทั้งเข้ารับการตรวจสุขภาพช่องปากและขูดหินปูนเป็นประจำทุก 6 เดือนด้วย นอกจากจะเป็นการดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟันแล้ว ยังช่วยปลูกฝังในเรื่องของความสำคัญของสุขภาพฟันให้เด็กด้วย

หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีประสบการณ์ด้านการจัดฟันในเด็กมาอย่างยาวนาน ทันตแพทย์ก็มีความเชี่ยวชาญด้านทันตกรรมในเด็ก จึงสามารถให้คำปรึกษาได้อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ พร้อมทั้งแนะนำแนวทางการสร้างความเข้าใจให้กับเด็ก เพื่อที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะได้นำไปพูดสร้างทัศนคติให้กับเด็กได้อย่างถูกต้อง เพราะเราอยากเด็กๆทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี เพื่อที่จะได้มีฟันที่สวยงาม มีรอยยิ้มที่สดใสสมวัย และสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่และมีความสุข

8
ถ้าเด็กไม่ชินกับเครื่องมือจัดฟันเด็ก EF LINE ควรทำอย่างไร

การรักษาความสะอาดของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ เด็กควรที่จะแปรงฟันให้ถูกวิธีและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะใส่ใจในเรื่องของโภชนาการของเด็กด้วย เพื่อที่ให้เด็กได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาสุขภาพตามมา นอกจากนี้ พฤติกรรมที่มีความผิดปกติของเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่สอดส่องดูแลเพื่อให้เด็กได้ลดพฤติกรรมที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการดูดนิ้ว พฤติกรรมการดูดขวดนม ซึ่งแน่นอนว่าพฤติกรรมเหล่านี้เป็นเรื่องปกติของเด็กในวัยนี้ แต่ถ้าหากเด็กยังไม่เลิกพฤติกรรมดังกล่าวอาจทำให้ส่งผลต่อสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กได้ ซึ่งถ้าหากเกิดปัญหาเกี่ยวกับฟันการสบฟันที่ผิดปกติหรือกล้ามเนื้อโครงสร้างบริเวณใบหน้าทำงานผิดปกติ เด็กก็ต้องเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็กโดยใช้เครื่องมือ EF LINE ซึ่งในปัจจุบัน ทางทันตกรรมได้พบว่ากล้ามเนื้อใบหน้าและลิ้นมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง ขนาด และการทำงานของกระดูกขากรรไกรและใบหน้า


ดังนั้น จึงมีการออกแบบเครื่องมือเพื่อทำการปรับแก้ไขปัญหาของกล้ามเนื้อซึ่งต้องร่วมกับการฝึกโดยการออกกำลังกล้ามเนื้อ การปรับเปลี่ยนการหายใจให้ถูกวิธี รวมถึงการใช้เครื่องมือเพื่อช่วยปรับการกลืนให้ถูกต้อง โดยเครื่องมือดังกล่าวเรียกว่า EF line โดยสามารถใช้ได้ในเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 4 -15 ปี โดยเครื่องมือในกลุ่มนี้มีความหลากหลายในการแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน เช่น ปัญหารูปหน้าที่มีคางหลุบ ค้างเบี้ยวกระดูกและฟันบนยื่น และกรณีที่เด็กมีรูปหน้าสั้นซึ่งต้องการเพิ่มความสูงใบหน้า ซึ่งสามารถแก้ไขได้ แต่เด็กที่ได้ผ่านการเข้ารับการจัดฟันในเด็ก หรือกำลังเริ่มที่จะเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือ EF LINE พ่อแม่หลายคนกังวลว่า การสวมใส่เครื่องมือ EF LINE ของเด็กนั้น จะส่งอันตรายต่อเด็กหรือไม่ วันนี้ทางคลินิก เราจะมาพูดถึงวิธีการแก้ไขปัญหาสำหรับเด็กที่มีอาการผิดปกติหรืออาจจะยังไม่ชินกับเครื่องมือ EF LINE ว่า พ่อแม่ควรจะรับมืออย่างไร

สำหรับเครื่องมือ EF line เป็นชุดเครื่องมือที่สามารถใช้แก้ไขปัญหากล้ามเนื้อที่มีการทำงานผิดปกติ ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น ช่วยส่งเสริมการปรับรูปของกระดูกโดยเราทราบว่ากระบวนการเจริญเติบโตของเด็กที่เกี่ยวข้องกับกระดูกใบหน้าส่วนกลางและกระดูกขากรรไกรล่างมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องมากน้อยตามแต่ช่วงอายุ ดังนั้น ตามหลักการแล้วหากต้องการปรับโครงสร้างใบหน้าจึงต้องทำการเริ่มแก้ไขในช่วงที่เด็กยังมีการเจริญเติบโต


โดยเด็กจะต้องสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันตามที่ทันตแพทย์แนะนำ หรือใส่ คือ ตอนกลางคืนเวลานอนหลับ 10 ชม. เวลากลางวัน 2 ชั่วโมง ซึ่งในระหว่างใส่กลางวัน โดยพ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องคอยสังเกตพฤติกรรมอยู่ตลอด เวลาที่เด็กใส่เครื่องมือ EF LINE โดยควรให้เด็กใส่เครื่องมืออยู่นิ่งๆ ไม่เคี้ยวเล่น ไม่พูด ปากปิดสนิทเพื่อเป็นการออกกำลังกล้ามเนื้อรอบปาก ให้เด็กดื่มน้ำมากเพิ่มความชุ่มชื้นในช่องปากของเด็ก หากมีอาการระคายเคืองบางตำเเหน่ง ใช้ยาทาเเผลในปาก โดยทาตรงบริเวณที่เจ็บเพื่อบรรเทาอาการได้ อย่างไรก็ตาม การสวมใส่เครื่องมือ EF LINE วันเเรกๆของการใส่อาจไม่สบายนัก แต่ร่างกายจะปรับตัวยอมรับและดีขึ้นเอง

ซึ่งแรกๆเด็กบางคนอาจมีทำท่าทางเหมือนอยากจะอาเจียน แต่พ่อแม่ผู้ปกครอง ควรพยายามให้เด็กใส่ให้เกิดความเคยชินขึ้น โดยอาจปรับเวลาเป็นการใส่ครั้งแรก อาจใส่ครึ่งชั่วโมงเพื่อการปรับตัวแล้วพัก และใส่ต่อ โดยค่อยๆเพิ่มเวลา เมื่อเวลาผ่านไป เด็กจะสามารถสวมใส่เครื่องมือ EF LINE ได้นานขึ้น และเพลินเพลินกับการทำกิจกรรมอื่นๆไปด้วยได้ เช่น นั่งใส่ดูการ์ตูน อ่านหนังสือ และอื่นๆโดยไม่เผลอเคี้ยวหรือกัดเล่นเพราะเด็กบางคนอาจเผลอเคี้ยวเล่นหรือพยายามกัดและขยับให้พอดี


เเต่อาจเป็นผลทำให้เครื่องมือ EF LINE ขาดได้ ทางที่ดีเมื่อใส่ EF LINE ก็ควรจะปรับ EF LINE ให้ตรงและเตือนเด็กให้พยายามใส่ประคองด้วยฟัน และนิ่งๆไว้ไม่เคี้ยวเล่น เมื่อเวลาผ่านไป ฟัน กระดูกเหงือก เนื้อเยื่อในปาก กล้ามเนื้อและลิ้นจะปรับตัวตามเครื่องมือ ปัญหาอาการระคายเคืองต่างๆจะค่อยๆลดลงจนสามารถใส่ได้นานๆอย่างสบาย ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองมีส่วนที่จะช่วยทำให้เด็กเกิดความเคยชินในการใส่เครื่องมือได้

หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านไหน สนใจให้บุตรหลานของท่าน เข้ารับการจัดฟันในเด็ก ด้วยโปรแกรม EF Line สามารถขอรับคำแนะนำและปรึกษากับทางทันตแพทย์ของทางคลินิกได้ เพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการจัดฟันในเด็กและมีประสบการณ์ด้านทันตกรรมในเด็กมาอย่างยาวนาน จึงเป็นการการันตีได้ว่า บุตรหลานของท่านจะมีสุขภาพฟันที่ดี และมีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงาม มีรอยยิ้มที่สดใสสมวัย เพื่อที่จะได้เติบโตไปเป็นเด็กที่มีสุขภาพฟันที่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

9
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)

ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)

สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


10
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


11
งานฝีมือจากขวดเมสัน ตกแต่งขวดโหลด้วยสี ผ้า 

การนำขวดโหลเมสันมาทำเป็นของตกแต่งบ้านถือเป็นงานฝีมือที่สร้างสรรค์และไม่เหมือนใคร ลองดูไอเดียเหล่านี้ที่สามารถตกแต่งขวดโหลด้วยสีและผ้า เพื่อเปลี่ยนขวดธรรมดาให้กลายเป็นของตกแต่งที่สวยงามได้เลยค่ะ


ตกแต่งด้วยสี

เทคนิคการเพ้นท์: ใช้สีอะคริลิกหรือสีเพ้นท์แก้วเพื่อสร้างลวดลายบนขวดโหล สามารถเพ้นท์เป็นลายดอกไม้ ลายจุด หรือลวดลายเรขาคณิตตามชอบ หรือจะใช้วิธีเพ้นท์แบบไล่เฉดสีเพื่อเพิ่มความน่าสนใจก็ได้

เทคนิคการทำสีด้านใน: เทสีอะคริลิกผสมน้ำลงไปในขวดโหลแล้วค่อยๆ หมุนให้สีเคลือบผิวขวดด้านในจนทั่ว จากนั้นคว่ำขวดโหลลงบนกระดาษเพื่อให้น้ำสีส่วนเกินไหลออก และปล่อยทิ้งไว้ให้แห้ง เมื่อแห้งแล้วจะทำให้ได้ขวดโหลสีสวยๆ ที่ดูสะอาดตา


ตกแต่งด้วยผ้า

หุ้มด้วยผ้าลูกไม้: นำผ้าลูกไม้มาหุ้มขวดโหลทั้งขวด หรือจะหุ้มเพียงบางส่วนแล้วติดกาวให้แน่น ก็จะช่วยให้ขวดโหลดูหวานและวินเทจขึ้น

พันด้วยผ้ากระสอบ: การใช้ผ้ากระสอบมาพันรอบขวดโหลจะช่วยสร้างลุคที่ดูอบอุ่นและเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับสไตล์การตกแต่งแบบ Rustic หรือ Farmhouse

ตกแต่งฝาขวดด้วยผ้า: ตัดผ้าที่มีลวดลายสวยๆ ให้เป็นทรงกลมแล้วนำมาปิดบนฝาขวดโหล จากนั้นผูกด้วยเชือกป่านหรือริบบิ้นเพื่อเพิ่มความน่ารัก


ไอเดียการนำไปใช้

เมื่อตกแต่งขวดโหลเสร็จแล้ว สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย

แจกันดอกไม้: นำดอกไม้สดหรือดอกไม้แห้งมาใส่

เชิงเทียน: วางเทียนไขเล็กๆ ไว้ด้านใน

ที่ใส่ดินสอหรือแปรงแต่งหน้า: เหมาะสำหรับใช้ตกแต่งบนโต๊ะทำงานหรือโต๊ะเครื่องแป้ง

โคมไฟ: ใส่หลอดไฟ LED ขนาดเล็กไว้ในขวดโหลเพื่อสร้างบรรยากาศที่อบอุ่น

ที่เก็บของ: ใช้เก็บของจุกจิก เช่น กระดุม เข็มเย็บผ้า หรือเครื่องประดับเล็กๆ

การนำขวดโหลเมสันมาตกแต่งด้วยตัวเอง นอกจากจะได้ของตกแต่งที่ไม่เหมือนใครแล้ว ยังเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้คุณได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์อีกด้วยค่ะ

12
5 เทคนิคเลือกของขวัญวันปีใหม่ ถูกใจทั้งผู้ให้และผู้รับ

เทคนิคการเลือกของขวัญวันปีใหม่ให้ถูกใจทั้งผู้ให้และผู้รับนั้นไม่ยากอย่างที่คิด เพียงแค่คำนึงถึงหลักง่ายๆ 5 ข้อนี้ ก็ช่วยให้ของขวัญของคุณเป็นที่น่าจดจำและสร้างความประทับใจได้แล้วค่ะ

1. เลือกของขวัญที่เหมาะกับผู้รับ
การเลือกของขวัญโดยคำนึงถึงความชอบส่วนตัวของผู้รับเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ลองสังเกตจากสิ่งที่เขาพูดถึงบ่อยๆ งานอดิเรก หรือไลฟ์สไตล์ เช่น ถ้าผู้รับชอบทำอาหาร อาจจะเลือกชุดอุปกรณ์ทำครัว หรือถ้าผู้รับเป็นคนดูแลสุขภาพ อาจจะเป็นเครื่องนวดไฟฟ้า

2. มอบของขวัญที่ใช้งานได้จริง
ของขวัญที่ไม่ต้องราคาสูงเสมอไป แต่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ในชีวิตประจำวันจะช่วยให้ผู้รับรู้สึกว่าคุณใส่ใจและให้ความสำคัญ เช่น กระเป๋าผ้าสำหรับคนชอบช้อปปิ้ง หรือแก้วน้ำเก็บอุณหภูมิสำหรับคนทำงาน

3. ของขวัญที่สื่อถึงความหมายดีๆ
เลือกของขวัญที่มีความหมายมงคลหรือเป็นสัญลักษณ์ของความสุขและความสำเร็จ เช่น ของตกแต่งบ้านที่มีรูปทรงมงคล หรือเครื่องประดับที่สื่อถึงความเจริญรุ่งเรือง ของขวัญเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้รับเริ่มต้นปีใหม่ด้วยความรู้สึกที่ดี

4. ของขวัญที่เน้นสร้างประสบการณ์
เปลี่ยนจากการให้สิ่งของเป็นการมอบประสบการณ์ที่น่าจดจำ เช่น บัตรรับประทานอาหารที่ร้านบรรยากาศดีๆ หรือบัตรที่พักในสถานที่ที่สวยงาม การมอบประสบการณ์จะสร้างความทรงจำร่วมกันและมีความหมายมากกว่าของขวัญทั่วไป

5. ของขวัญที่ทำเอง (DIY)
ของขวัญทำมือจะแสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทและความตั้งใจของคุณ ทำให้ผู้รับรู้สึกพิเศษมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคุกกี้ที่อบเอง การ์ดทำมือ หรือของตกแต่งที่ทำขึ้นเอง ของขวัญเหล่านี้จะมีคุณค่าทางใจอย่างมาก

13
ขายอาหารเป็นอาชีพเสริม หม้อไฟไข่ตุ๋น เนื้อเนียนนุ่ม เครื่องแน่น ทำง่ายอร่อยมาก

หม้อไฟไข่ตุ๋นเป็นเมนูง่ายๆ แต่รสชาติดี ทำง่าย เหมาะสำหรับทุกมื้ออาหาร เมนูนี้มีไข่ตุ๋นเนื้อนุ่มละมุนปรุงในหม้อไฟ มักมีเครื่องเคียงต่างๆ เช่น เนื้อสับ อาหารทะเล ผักและเครื่องปรุงรสหอมๆ เสิร์ฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ ไข่ตุ๋นหม้อไฟเป็นเมนูที่ทำง่าย อร่อยและเหมาะสำหรับทานกันหลายคน หม้อไฟไข่ตุ๋นนี้เหมาะสำหรับมื้อด่วนและเข้ากันได้ดีกับข้าว

ลองทำดูและเพลิดเพลินกับอาหารจานอร่อยที่แสนสบายที่บ้าน
ทำไมคุณถึงจะรักอาหารจานนี้
เตรียมง่าย : ใช้ส่วนผสมเพียงไม่กี่อย่างและใช้เวลาในการปรุงอาหารเพียงเล็กน้อย
ปรับแต่งได้ : คุณสามารถเพิ่มส่วนผสมที่คุณชื่นชอบเพื่อเพิ่มรสชาติ
มีคุณค่าทางโภชนาการและเบา : ทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพที่มีโปรตีนสูงและไขมันต่ำ

วัตถุดิบ
ไข่ 3 ฟอง
น้ำเปล่าหรือน้ำซุป 1 ถ้วย
เกลือ ½ ช้อนชา
ซีอิ๊วขาว ½ ช้อนชา
น้ำมันงา ½ ช้อนชา
ต้นหอมซอย (สำหรับตกแต่ง)

ตัวเลือก: หมูสับ กุ้ง เห็ด หรือ เต้าหู้
วิธีทำไข่ตุ๋นหม้อไฟ
เตรียมส่วนผสมไข่
ตีไข่ในชามและค่อยๆ เติมน้ำหรือน้ำซุปลงไปขณะคน
เติมเกลือ, ซอสถั่วเหลือง และน้ำมันงา แล้วผสมให้เข้ากัน
กรองให้เนื้อเนียน

กรองส่วนผสมผ่านตะแกรงละเอียดเพื่อขจัดฟองและทำให้ได้เนื้อเนียน
นึ่งไข่

เทส่วนผสมไข่ลงในหม้อร้อนหรือชามทนความร้อน
ปิดฝาหรือปิดด้วยฟอยล์อลูมิเนียมเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำหยดลงไป
นึ่งด้วยไฟอ่อนประมาณ 10-15 นาที จนไข่สุก
เพิ่มท็อปปิ้ง

เมื่อนึ่งไปได้ครึ่งทาง ให้เลือกเครื่องเคียงตามใจชอบ เช่น เนื้อสับ กุ้ง หรือเห็ด
นึ่งต่อไปจนกระทั่งสุกทั่ว
เสิร์ฟและเพลิดเพลิน ตกแต่งด้วยต้นหอมซอยแล้วเสิร์ฟร้อนๆ

เคล็ดลับ:
เพื่อให้ไข่ตุ๋นเนื้อเนียนนุ่ม ควรใช้น้ำซุปไก่ หรือน้ำเปล่าในปริมาณที่เหมาะสม
หากต้องการให้ไข่ตุ๋นมีสีสันสวยงาม สามารถใส่ผักต่างๆ เช่น แครอท, ต้นหอม หรือเห็ดหอมลงไปด้วย
สามารถปรับเปลี่ยนส่วนผสมได้ตามความชอบ เช่น ใส่ปูอัด, เต้าหู้ หรือลูกชิ้น
เพื่อให้ไข่ตุ๋นไม่ติดหม้อ สามารถทาเนยหรือน้ำมันลงไปในหม้อไฟก่อนที่จะเทส่วนผสมลงไป

เพิ่มเติม
การนึ่งไข่ตุ๋นในหม้อไฟ ควรใช้ไฟอ่อน เพื่อให้ไข่ค่อยๆ สุกและเนื้อเนียน
สามารถใช้หม้อไฟฟ้าสำหรับทำสุกี้ หรือหม้อสำหรับทำไข่ตุ๋นโดยเฉพาะได้

หากต้องการให้ไข่ตุ๋นฟู สามารถใช้ไข่เป็ดผสมกับไข่ไก่ได้ หม้อไฟไข่ตุ๋นนี้เหมาะสำหรับมื้อด่วนและเข้ากันได้ดีกับข้าวหรือซุปเบาๆ ลองทำดูและเพลิดเพลินกับอาหารจานอร่อยที่แสนสบายที่บ้าน




14
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: ไข้ซิกา (Zika fever)

ไข้ซิกาเป็นโรคติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ ส่วนน้อยที่มีอาการเจ็บป่วยนั้นมักจะมีอาการเพียงเล็กน้อย หายได้เอง และไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงในคนทั่วไป ยกเว้นหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคนี้อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงต่อทารกในครรภ์

สาเหตุ

เกิดจากเชื้อไวรัสซิกา (Zika virus) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสในสกุลฟลาวิไวรัส (Flavivirus) เช่นเดียวกับไวรัสเด็งกี่ (เชื้อไข้เลือดออก) และมียุงลายบ้าน (Aedes aegypti) เป็นพาหะนำโรคเช่นเดียวกับไข้เลือดออก และไข้ปวดข้อยุงลาย ดังนั้นจึงพบโรคนี้ระบาดในพื้นที่เดียวกับที่มีการระบาดของไข้เลือดออกและไข้ปวดข้อยุงลาย

นอกจากนี้ ยังพบว่าเชื้อไวรัสซิกาสามารถแพร่จากมารดา (หญิงที่ตั้งครรภ์) ไปสู่ทารกในครรภ์ได้ และมีรายงานว่าเชื้อนี้อาจติดต่อทางเลือด และทางเพศสัมพันธ์

ระยะฟักตัวของโรคประมาณ 3-12 วัน (เฉลี่ย 4-7 วัน)

อาการ

ผู้ติดเชื้อไวรัสซิการาวร้อยละ 80 ไม่มีอาการแสดงของโรค มีราวร้อยละ 20 ที่จะมีอาการเจ็บป่วยซึ่งเกิดขึ้นหลังถูกยุงลายบ้านกัดประมาณ 3-12 วัน

มักมีอาการไข้เล็กน้อย ขึ้นเป็นผื่นแดงตามแขนขาและลำตัว ตาแดง (เยื่อตาขาวอักเสบ) มีอาการปวดตามข้อและกล้ามเนื้อ และอาจมีอาการปวดศีรษะ อ่อนเพลียร่วมด้วย

อาการมักจะเป็นเพียงเล็กน้อย และเป็นอยู่นานประมาณ 2-7 วัน


ภาวะแทรกซ้อน

สำหรับคนทั่วไปมักไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง ยกเว้นในบางรายอาจทำให้เกิดกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เรได้ ซึ่งจะมีอาการกล้ามเนื้อแขนขา 2 ข้างและลำตัวอ่อนแรงเฉียบพลัน

ที่สำคัญ หญิงตั้งครรภ์ที่ป่วยเป็นโรคนี้ อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่อทารกในครรภ์ เช่น ทำให้แท้งบุตร ทารกมีสมองเล็ก (Microcephaly) หรือสมองพิการร้ายแรงถึงเสียชีวิตได้

นอกจากนี้ อาจทำให้ทารกเป็นกลุ่มอาการไข้ซิกาโดยกำเนิด (Congenital Zika Syndrome) ซึ่งทำให้เกิดความผิดปกติหลายอย่างร่วมกัน เช่น สมองเล็กอย่างรุนแรงร่วมกับกะโหลกบางส่วนยุบ เนื้อสมองถูกทำลาย ตาพิการ ข้อพิการ (เคลื่อนไหวลำบาก) กล้ามเนื้อเกร็งตัว (ทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวลำบาก) เป็นต้น


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบดังนี้

    ไข้ ตัวร้อนเล็กน้อย
    ผื่นแดง
    ตาแดง

ในรายที่ไม่แน่ใจ แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดด้วยการตรวจสารพันธุกรรมของไวรัสซิกาในเลือดหรือปัสสาวะของผู้ป่วย

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ และให้การรักษาตามอาการ เช่น ให้พาราเซตามอล แก้ปวดลดไข้

ผู้ป่วยมักจะหายได้เองภายใน 2-7 วัน

สำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคนี้ แพทย์อาจทำการตรวจเพิ่มเติม (เช่น ตรวจอัลตราซาวนด์) ดูว่าทารกในครรภ์มีความผิดปกติของสมองหรือไม่ และให้การดูแลตามที่เหมาะสม


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีไข้ ผื่นขึ้น ตาแดง ปวดข้อ หรือมีไข้ในช่วงที่มีคนในละแวกใกล้เคียงเป็นไข้ซิกา ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นไข้ซิกา ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    หลีกเลี่ยงการซื้อยามาใช้เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาแอสไพริน และยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน ไดโคฟีแนก) เนื่องเพราะอาจทำให้เลือดออกง่าย
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 2-3 วัน
    มีอาการไข้สูง หนาวสั่นมาก หรือมีไข้นานเกิน 1 สัปดาห์
    มีอาการซึมมาก เบื่ออาหาร อาเจียน หรือมีจุดแดงจ้ำเขียวตามผิวหนัง
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

ทำลายแหล่งเพาะยุงลาย และหาวิธีป้องกันไม่ให้ยุงลายกัด (ดูหัวข้อ "การป้องกัน ในโรคไข้เลือดออก" เพิ่มเติม)

สำหรับหญิงตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่หรือประเทศที่มีการระบาดของโรคนี้ หากจำเป็นควรป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัด โดยสวมเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวให้มิดชิด ทายาป้องกันยุงกัด และนอนในมุ้งหรือห้องที่ติดมุ้งลวด

ข้อแนะนำ

1. ไข้ซิกามักพบในพื้นที่ที่มีการระบาดของไข้เลือดออก และอาจมีอาการไข้ ผื่นขึ้นคล้ายไข้เลือดออก (ระยะแรก) ผู้ที่มีไข้ ผื่นขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ และติดตามสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด หากสงสัยเกิดภาวะช็อก หรือมีเลือดออก ก็ควรรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลโดยเร็ว

2. หญิงวัยเจริญพันธุ์ที่อยู่หรือเดินทางไปในพื้นที่ที่มีการระบาดของไข้ซิกา ควรคุมกำเนิดป้องกันการตั้งครรภ์ และหากเป็นไข้ซิกา ควรคุมกำเนิดเป็นเวลานานอย่างน้อย 2 เดือน

หากสามีป่วยเป็นไข้ซิกา หรือมีประวัติเดินทางไปในพื้นที่ที่มีการระบาด ควรคุมกำเนิด และใช้ถุงยางอนามัยป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์

15
หมอออนไลน์: กระเพาะหรือลำไส้อุดกั้น (Gastrointestinal/Gut obstruction)

ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่อุดกั้น ถ้าอุดกั้นที่ลำไส้เล็กมักมีอาการปวดบิดเกร็งเป็นพัก ๆ ที่บริเวณรอบ ๆ สะดือ และอาเจียนพุ่งรุนแรงติด ๆ กัน มักมีเศษอาหารหรือน้ำดี (สีเขียวและขม) ออกมา

ถ้าอุดกั้นที่ลำไส้ใหญ่มักไม่มีอาการอาเจียน หรือไม่ก็มีเพียงเล็กน้อย

นอกจากนี้ไม่ว่าการอุดกั้นจะเกิดตรงตำแหน่งใด ๆ ถ้าการอุดกั้นเป็นไปอย่างสมบูรณ์ มักมีอาการท้องผูกร่วมด้วยเสมอ อาจไม่มีการผายลมเลยถ้าอุดกั้นอย่างสมบูรณ์ที่ลำไส้ใหญ่

อาการท้องอืดอาจไม่ชัดเจนในระยะแรก แต่ต่อมาจะค่อย ๆ มีมากขึ้น

ถ้าเป็นอยู่หลายวันมักมีภาวะขาดน้ำ และอาจมีภาวะช็อก (เหงื่อออก ตัวเย็น กระสับกระส่าย ชีพจรเบาเร็ว ความดันต่ำ ปัสสาวะออกน้อย)

บางครั้งอาจมองเห็นการเคลื่อนไหวของลำไส้ที่หน้าท้อง

เมื่อใช้เครื่องฟังตรวจที่หน้าท้องจะได้ยินเสียงโครกครากของลำไส้ติดกันถี่ ๆ เป็นเสียงแหลม และถ้าเขย่าท้องอาจได้ยินเสียงเหมือนน้ำกระฉอก

อาจพบรอยแผลผ่าตัดที่หน้าท้อง หรือก้อนนูนของไส้เลื่อนที่บริเวณขาหนีบ หรือถุงอัณฑะ

ในทารกที่เกิดจากกระเพาะส่วนปลายตีบ จะมีอาการอาเจียนพุ่งแรงออกมาเป็นเศษนมมีกลิ่นเหม็นในระยะแรกเด็กยังรู้สึกหิวและเคลื่อนไหวแข็งแรง อาการอาเจียนจะเป็นอยู่เรื่อย ๆ จนต่อมาเด็กจะน้ำหนักลด กระสับกระส่าย และถ่ายอุจจาระน้อยลงเรื่อย ๆ สังเกตที่หน้าท้องมักพบการเคลื่อนไหวของลำไส้ และอาจคลำได้ก้อนที่บริเวณส่วนปลายของกระเพาะอาหาร

ถ้าไม่ได้รับการรักษาเด็กจะมีภาวะขาดน้ำ ซึม ชักและตายได้

ในเด็กที่เกิดจากลำไส้กลืนกันเอง มักมีอาการปวดท้องรุนแรงเป็นพัก ๆ (ถ้าเป็นในทารกจะมีอาการร้องไห้เสียงดังนานหลายนาที เว้นช่วงเงียบไปพักหนึ่งแล้วร้องขึ้นอีก) และอาจมีอาการอาเจียน บางครั้งอาจถ่ายเป็นมูกปนเลือดคล้ายเยลลี่

หน้า: [1] 2 3 ... 57